แต่ก่อนผมเองก็ไม่เคยเข้าใจหรอกนะครับว่า ทำไมผมต้องให้คนอื่น ทั้งๆที่คนเหล่านั้นที่ผมไม่รู้จัก พวกเขาก็ไม่เคยมาช่วยเหลืออะไรผมเลย คนที่ดิ้นรนให้ตัวเองมีชีวิตที่ดีขึ้นมาได้ก็คือผมคนนี้ไม่ใช่หรือ? ไม่ได้มีใครมาช่วยผมเลยสักคน
ผมเองผมยอมรับครับว่าแต่ก่อนนั้นผมเป็นคนที่คิดลบมาตลอด ผมไม่เคยได้สัมผัสเลยว่า จริงๆแล้วความสุขที่แท้จริงของชีวิตมันคืออะไรกันแน่ ผมออกเดินทางตามหามันมาตลอด …
จุดเริ่มต้นของการเป็นผู้ให้ของผมก็มาจากการที่ผมได้รู้จักกับเว็บไซต์ volunteerspirit.org และได้รู้จักกับโครงการ Take a seat project “One day camp” จากเว็บไซต์นี้ ซึ่งโครงการนี้ก็คือการเป็นครูจิตอาสาเข้าไปสอนและแนะแนวเด็กๆในส่วนสาขาวิชาที่ตัวเองถนัด 1 วัน ซึ่งผมได้เลือกสอนในหัวข้อ การพัฒนาศักยภาพเด็ก ช่วงชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ซึ่งเป็นการดึงเอาศักยภาพที่ซ่อนเร้นอยู่ภายในตัวของแต่ละบุคคลออกมาพัฒนาและนำออกมาใช้ให้ได้มากที่สุด ร่วมถึงศาสตร์ด้านจิตวิทยาและกลไกทางสมองอีกด้วย โดยโครงการในครั้งแรกนี้ได้จัดขึ้นที่โรงเรียนสุเหร่าดอนสะแก ซอยลาดพร้าว 96 เมื่อวันที่19 กันยายน 2560 ที่ผ่านมา
ในตอนแรกผมเองก็ไม่ได้คาดหวังอะไรมาก ว่าเด็กๆจะสนใจหรือเข้าใจในสิ่งที่ผมกำลังจะสื่อและกำลังจะสอนพวกเขา เพราะโดยธรรมชาติของเด็ก ถ้าไม่สามารถทำให้เขาสนใจหรือสิ่งนั้นเร้าความอยากรู้อยากเห็นของเขาจริงๆ เด็กๆก็มักจะไม่ค่อยสนใจที่จะเรียนรู้เท่าไร เพราะเรื่องเหล่านี้แม้ขนาดผู้ใหญ่เองก็ยังไม่ค่อยอยากที่จะเรียนรู้หรือสนใจที่จะศึกษามันกันเลย
แต่มันกลับเหนือความคลาดหมายอย่างมากครับ เพราะเด็กๆกลับมีความสุข และสนุกไปกับสิ่งที่ผมสอน กับสิ่งที่ผมพาพวกเขาทำ เด็กๆเข้าใจในสิ่งที่ผมสื่อออกไป ทุกคนมีรอยยิ้ม มีเสียงหัวเราะ เคล้าความซนตามวัยของพวกเขา และเด็กๆทุกคนก็ได้มอบคำขานเรียกที่มีความหมายยิ่งใหญ่มากให้กับผมนั้นคือคำว่า “ครู” เด็กๆทุกคนเรียกผมว่าคุณครู โดยที่ไม่ได้มีการบังคับให้เรียก มันเป็นการเรียกที่ออกมาจากการยอมรับของพวกเด็กๆ มันเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่ และมีความหมายมากสำหรับผมมากจริงๆครับ ยิ่งตอนที่ผมจะกลับมันเหมือนในหนังอะไรสักฉาก ที่เด็กๆต่างวิ่งออกมาหาผม และบอกกับผมว่า “คุณครู ช่วยอยู่ที่นี้กับพวกหนูได้ไหม อยากให้ครูเป็นครูอยู่ที่นี้” นั้นมันยิ่งทำให้ผมได้ตระหนักและมองเห็นถึงคุณค่าภายในตัวเองที่มีต่อผู้อื่น และได้พบกับความสุข…ความสุขที่แท้จริงของชีวิตที่ผมพยายามวิ่งตามหามันมานาน ความสุขที่อยู่กับผมมาตลอด แต่ผมไม่เคยคิดที่จะมองและศึกษามัน
ทุกวันนี้เด็กๆส่วนใหญ่ก็ยังคงติดต่อกับผมเพื่อขอคำปรึกษาอยู่ครับ พวกเขาจดจำผมได้ และพวกเขาก็ยังให้ผมเป็นครูอีกคนหนึ่งในเขตความปลอดภัยของพวกเขา จากประสบการณ์ครั้งนี้มันทำให้ผมได้ตระหนักกับตัวเองว่า “จริงๆแล้วการที่เราจะเป็นผู้ให้ มันไม่ได้หมายความว่า เราจะต้องได้อะไรก็ตามแต่ก่อน แต่เราควรให้โดยที่เราไม่ไปหวังผลลัพธ์หรือผลตอบแทนที่จะตามมา เพราะถึงยังไงเราก็มีสิ่งที่เราจะได้อยู่แล้ว ซึ่งนั้นก็คือ หัวใจของเราที่มันจะใหญ่ขึ้น พองโตขึ้น อิ่มใจขึ้น มีความสุขขึ้น และ ยังได้เข้าไปอยู่ในความทรงจำของคนเหล่านั้นที่เราให้ในบางอย่างกับพวกเขาอีกด้วย”
จงอย่ารังเลที่จะใช้ศักยภาพที่ตนเองมี เพื่อส่งมอบสิ่งที่ดีๆให้กับคนอื่นนะครับ เพราะอย่าลืมว่าโลกจะภูมิใจและจดจำในสิ่งที่เรา “ให้” ไม่ใช่ในสิ่งที่เรา “มี” ครับ
Mr. Sarunyoo Groottun Moudrung
Page : Capacity Development