บทความจาก Thepotential
ที่มา : https://thepotential.org/2018/04/25/youth-civic-engagement/
|
เรื่อง: วิภาวี เธียรลีลา
ถ้าคุณเป็นผู้ใหญ่ คุณมีความเชื่อมั่นในศักยภาพของเด็กและเยาวชนในปัจจุบันขนาดไหน?
หรือถ้าคุณเป็นเด็ก คุณคิดว่าตัวเองมีศักยภาพพอที่จะรับผิดชอบตัวเองและสังคมหรือเปล่า?
แล้วถ้ามองในภาพใหญ่ สังคมไทยควรให้โอกาสและบทบาทแก่เด็กและเยาวชนให้เข้ามามีส่วนร่วมรับผิดชอบต่อสังคมอย่างไรบ้าง?
การบรรยายพิเศษในหัวข้อ ‘ทฤษฎีพัฒนาการการมีส่วนร่วมของพลเมือง’ (Towards a Developmental Theory of Youth Civic Engagement) โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์เบนจามิน ออสเทอร์ฮอฟ (Benjamin Oosterhoff) ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ (Department of Pediatrics) แผนกจิตวิทยา (Psychology Section) วิทยาลัยแพทยศาสตร์เบย์เลอร์ (Baylor College of Medicine) ประเทศสหรัฐอเมริกา จัดโดยคณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ภายใต้โครงการเพิ่มพูนและจุดประกายความรู้ทางจิตวิทยาพัฒนาการเด็กและวัยรุ่น สะท้อนให้เห็นว่าวัยรุ่นเป็นช่วงวัยที่มีพัฒนาการทั้งภายนอกและภายในอย่างชัดเจน
ภายนอก คือความเปลี่ยนแปลงทางร่างกายที่เติบโตขึ้น รวมทั้งพฤติกรรมการเข้าสังคมที่ปรับเปลี่ยนไปตามสภาพแวดล้อม ด้วยต้องการเป็นที่ยอมรับจากเพื่อนฝูงและคนใกล้ชิด
ภายใน คือสภาพจิตใจของวัยรุ่นที่ถูกกระทบได้อย่างง่ายดายจากปัจจัยเงื่อนไขภายนอก ‘ความเสี่ยง’ เป็นสิ่งที่วัยรุ่นโปรดปรานซึ่งบ่อยครั้งก่อให้เกิดปัญหาสังคมที่สร้างความกังวลให้กับผู้ใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการพนัน การเสพยา หรือพฤติกรรมทางเพศที่ไม่เหมาะสม
นอกจากนี้ สิ่งที่เกินสายตามนุษย์จะมองเห็นแต่เทคโนโลยีสามารถวิเคราะห์ความเปลี่ยนแปลงภายในออกมาให้เห็นได้ คือ พัฒนาการทางประสาทวิทยาของสมองช่วงวัยรุ่น ที่ส่งผลต่อการแสดงออกทางพฤติกรรมทั้งในเชิงบวกและเชิงลบ
เมื่อมนุษย์ต้องอยู่รวมกันเป็นสังคม ความวิตกกังวลในพฤติกรรมเชิงลบของวัยรุ่นจึงไม่ได้เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นเฉพาะในประเทศไทย แต่เป็นปัญหาพื้นฐานที่ทุกสังคมต้องเผชิญ พฤติกรรมดังกล่าวขับเคลื่อนโดยสมรรถนะทางอารมณ์ (Emotional Competencies) ที่ควบคุมโดยสมอง ความฉุนเฉียว ก้าวร้าว อารมณ์หุนหันพลันแล่น และความดื้อดึงจึงเป็นสิ่งที่สังคมต้องทำความเข้าใจและพร้อมรับมือ
ออสเทอร์ฮอฟ บอกว่า การมีส่วนร่วมภาคพลเมืองในเด็กและเยาวชน (Youth Civic Engagement) กับ การพัฒนาวัยรุ่นเชิงบวก (Positive Youth Development: PYD) มีความเกี่ยวข้องกัน แนวคิดเรื่องการพัฒนาวัยรุ่นเชิงบวกมีที่มาจากการเผชิญหน้ากับปัญหาอาชญากรรมและพฤติกรรมเชิงลบของวัยรุ่นอเมริกันในช่วงกว่า 30 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลกลางจึงจัดให้มีงบประมาณเพื่อทำวิจัยเกี่ยวกับการพัฒนาเด็กและเยาวชนโดยเฉพาะ
ในยุคหลังเริ่มมีการพูดถึง การมีส่วนร่วมภาคพลเมืองของเด็กและเยาวชน (Youth Civic Engagement) โดยเชื่อว่า
เยาวชนมีศักยภาพเชิงบวกและสามารถพัฒนาตนเองได้อย่างก้าวกระโดด หากได้รับโอกาสและการยอมรับจากผู้ใหญ่ใกล้ตัว ทั้งผู้ปกครอง ครู ชุมชน ให้ได้ลงมือทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น ‘ด้วยความเต็มใจ’
ยิ่งสิ่งที่ทำนั้นเป็นประโยชน์ต่อสังคมใกล้ตัว เมื่อทำแล้วได้รับคำชื่นชมและได้รับการยอมรับ (promotion-focused) ยิ่งสร้างความภาคภูมิใจในตนเองให้กับวัยรุ่น จนอยากอาสาทำแล้วทำอีก นั่นเพราะการอาสาสมัครเข้ามาสร้างประโยชน์ทำให้พวกเขาเห็นคุณค่าและศักยภาพที่มีอยู่ในตัวเอง
การมีส่วนร่วมภาคพลเมืองของเด็กและเยาวชนในเชิงงานอาสา สะท้อนพฤติกรรม ค่านิยม ความรู้ และทักษะที่สามารถสร้างให้เกิดรูปแบบทางการเมืองเฉพาะถิ่น และการก่อร่างสร้างสังคมที่มีการช่วยเหลือเกื้อกูลกันมากกว่าการกดขี่ข่มเหง ซึ่งหากมองในระยะยาวจะเป็นประโยชน์ต่อคุณภาพชีวิตของเด็กและเยาวชนในอนาคต เปรียบเทียบง่ายๆ เหมือนเป็นการสร้าง ‘ชุมชนน่าอยู่’ โดยให้เด็กและเยาวชนเข้ามามีบทบาทด้วย ไม่ใช่แค่การเคารพในกฎกติกาของผู้ใหญ่เพียงอย่างเดียว
ออสเทอร์ฮอฟ กล่าวถึง ผลลัพธ์จากงานวิจัยที่น่าสนใจแต่ไม่ได้รับการพูดถึงมากนัก เมื่อพบว่า งานอาสาสมัครเป็นองค์ประกอบหลักของระบบเศรษฐกิจและสังคมในหลายประเทศ โดยเฉพาะประเทศในภูมิภาคเอเชีย
ปี 2005 ประชากร 30 เปอร์เซ็นต์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รวมกลุ่มกันทำงานอาสาที่เป็นประโยชน์เพื่อสังคมจำนวนมาก มากกว่าในแถบยุโรปและอเมริกากว่า 3 เท่า คิดเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจถึง 2.05 ล้านล้านบาท
โดยเฉพาะงานอาสาด้านสิ่งแวดล้อมที่ช่วยบรรเทาเยียวยาปัญหาสิ่งแวดล้อมทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับโลกเป็นวงกว้าง
คำถามคือ แล้วใครจะเข้ามามีบทบาทสนับสนุนการมีส่วนร่วมภาคพลเมืองของเด็กและเยาวชน?
คำตอบที่ได้ ไม่ใช่องค์กรการเมือง แต่กลับเป็นผู้ปกครอง และสถาบันการศึกษา ที่มีส่วนสำคัญในการส่งเสริมให้เกิดกระบวนการดังกล่าว
ต้องยอมรับว่าแม้ในสหรัฐอเมริกาเอง ชาวอเมริกันก็ยังไม่มีความเข้าใจมากนักว่า การมีส่วนร่วมภาคพลเมืองเกี่ยวข้องกับการพัฒนาสังคมและการพัฒนาพื้นฐานทางอารมณ์ของเด็กและเยาวชน เนื่องจากการมีส่วนร่วมภาคพลเมืองมักถูกมองในมุมแคบแค่ไปออกเสียงเลือกตั้ง ไม่ได้เชื่อมโยงมาถึงงานอาสาสมัคร และรูปแบบการมีส่วนร่วมอื่นๆ ที่หลากหลาย
ออสเทอร์ฮอฟ ย้ำว่าประสบการณ์การเรียนรู้ตั้งแต่แรกเกิดจนถึงวัยรุ่นจากการทำงานอาสาที่ให้คุณค่าทางอารมณ์และจิตใจ ส่งผลต่อพัฒนาการทางสมองที่เชื่อมโยงไปสู่การแสดงออกทางพฤติกรรมเชิงบวกในระยะยาว กระทั่งเติบโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม
แบบไหนจึงเรียกว่า การมีส่วนร่วมภาคพลเมือง?
ในเชิงพฤติกรรมสามารถวัดได้จากพฤติกรรมที่แสดงออกขณะปฏิบัติกิจวัตรประจำวันทั่วไป เช่น
- พฤติกรรมเกี่ยวกับสภาพแวดล้อม: ปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าทุกครั้งถ้าไม่ใช้งานหรือไม่?
- งานอาสาสมัคร: แบ่งเวลาไปทำงานอาสาสมัครเดือนละกี่ชั่วโมงหรือกี่ครั้ง?
- การช่วยเหลือแบบไม่เป็นทางการ: เคยทำงานโดยไม่รับผลตอบแทน แต่คำนึงถึงประสบการณ์หรือเปล่า?
- การบริโภคข่าวสาร: ให้เวลาในการเสพข้อมูลข่าวสารผ่านช่องทางต่างๆ มากขนาดไหน?
- คุณค่าจากความรับผิดชอบที่มีต่อสังคม: รับฟังและเปิดใจยอมรับความต้องการของผู้อื่นหรือไม่?
- ความเชื่อเรื่องการเมือง: เป็นพลเมืองที่ตื่นตัวต่อความเป็นมาเป็นไปของบ้านเมืองหรือเปล่า หรือ เห็นความสำคัญและออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งไหม?
นอกจากนี้ การมีส่วนร่วมภาคพลเมือง ยังรวมถึงความสามารถในการพัฒนาอารมณ์และความเข้าใจทางสังคม ในเชิงพฤติกรรมสอดคล้องกับการแสดงออกถึงความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น หากกำลังตัดสินใจทำอะไรสักอย่าง จะต้องคำนึงถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นทั้งกับตัวเองและผู้อื่น และสามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองเมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่ไม่เป็นไปตามที่คาดหวังได้ เป็นต้น
สิ่งที่เด็กและเยาวชนพบเจอในชีวิตประจำวัน ตั้งแต่แรกเกิดจนเติบโต และประสบการณ์ชีวิตที่เผชิญด้วยตัวเองในแง่มุมที่หลากหลาย เป็นกุญแจสำคัญในการสร้างแรงกระตุ้นและช่วยพัฒนาศักยภาพให้เด็กและเยาวชนสามารถดูแลตัวเองและสังคมให้ดีขึ้นได้ นอกจากนี้ การเปิดพื้นที่ให้เด็กและเยาวชนเข้ามามีบทบาทในการร่วมคิดร่วมทำงานอาสาพัฒนาสังคม จะกระตุ้นให้พวกเขาเห็นคุณค่าในตัวเอง เป็นการสร้าง ‘สำนึกพลเมือง’ ที่ทำให้พวกเขาอยากทำประโยชน์ให้กับสังคมที่ตนเองอาศัยอยู่ นำไปสู่การสร้างสังคมสุขภาพและสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีในอนาคต