วัน แรกที่เพิ่งได้มาลงหมู่บ้าน..เพื่อการเรียนรู้งานช่วงปิดเทอม ณ บ้านฟองใต้ ในห้วงยามที่เป็นนักศึกษาพัฒนาชุมชนชั้นปีที่ ๓ มหาวิทยาลัยขอนแก่น จะมีอะไรดีไปกว่าการลงพื้นที่เรียนรู้สภาพจริงของ “หมู่บ้าน”
ส่วนหนึ่งผมอยากทดลองฝึกงานก่อนจะได้ฝึกจริงในหลักสูตรปีที่ ๔ และอยากคลี่คลายความสงสัยต่อคำพูดที่ใครหลายคนในแวดวงงานพัฒนาบอกว่า “คำตอบอยู่ในหมู่บ้าน” แท้จริงแล้วคืออะไร
โชค ดีนักที่พี่มาวคนทำงานเครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือกภาคอีสาน และเป็นรุ่นพี่พัฒนาชุมชน เปิดโอกาสให้ได้ลงไปเรียนรู้ที่บ้านฟองใต้ ต.วังกวาง อ.น้ำหนาว จ.เพชรบูรณ์
อัน ที่จริงก่อนหน้านี้ตั้งแต่วันที่ ๒๙ มีนาคม ผมมีโอกาสได้สัมผัสเรียนรู้ “หมู่บ้าน” อยู่หลายที่ทั้งแถบเทือกเขาเพชรบูรณ์ มหาสารคามแล้วก็กาฬสินธุ์ ช่วงเวลานี้แค่ลงไปผ่าน ๆ ไม่ได้อยู่จริงจัง แต่ว่าก็ทำให้ได้เห็นอะไรหลายๆ อย่าง ผ่านสงกรานต์ไทยไป และทำธุระส่วนตัวหมดสิ้นจึงได้เตรียมตัว เตรียมใจอยู่ยาวที่บ้านฟองใต้
ผม ออกจากบ้านเช้าวันที่ ๒๓ เมษายน นั่งรถโดยสารไปลงชุมแพ เพื่อไปรอพี่เจ้าหน้าที่เอ็นจีโอที่รับผิดชอบพื้นที่ที่ผมจะไปอยู่ ณ สำนักงานกองทุนเครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือก นั่งรอเดินรอดับความตื่นเต้นด้วยบุหรี่จนมอดดับไปหลายมวนอยู่ประมาณ ๕ ชั่วโมง จึงได้พบกับ “พี่เล็ก” และตกลงกันว่าจะค้างคืนที่นั่นก่อน รุ่งเช้า “พี่สงคราม” ก็มารับผม เราจึงบึ่งรถตรงสู่บ้านฟองใต้ทันที ระหว่างทางไปหาบ้านฟองใต้ เส้นทางขึ้น ๆ ลง ๆ ตามภูเขาที่สลับซับซ้อน ผมนั่งเสียวท้องน้อยเวลารถลงเขาหลายครั้งทีเดียว
ด้วย ความที่เป็นคนพูดไม่เก่งมานาน ตลอดทางที่นั่งรถมาผมจึงจำได้ว่าคุยกับพี่สงครามไม่กี่ครั้ง อันที่จริงผมพยายามชวนคุยอยู่เหมือนกัน เพื่อไม่ต้องนั่งเอนเบาะฟังแต่วิทยุและมองดูบรรยากาศรอบ ๆ รถ แต่ไม่รู้จะคุยอะไร ได้แต่รอจังหวะให้พี่แกถามและตอบให้เยอะที่สุด พร้อมทั้งชวนคุยเรื่องอื่นต่อ
เรา มาถึงบ้านฟองใต้โดยใช้เวลาเดินทางประมาณชั่วโมงครึ่ง พี่สงครามก็พามารู้จักกับชาวบ้านฟองใต้สองสามคนที่นั่งคุยกันอยู่ใต้ถุนบ้าน ไม้ หลังจากแนะนำตัวและบอกจุดมุ่งหมายที่มา ผมจึงรู้ว่าต้องพักอยู่บ้านหลังนี้
เรือนไม้ขนาด 2 ห้องใหญ่ยกใต้ถุนสูงหลังนี้เป็นของพ่ออบต. ชื่อสาคร ลาลู่ หรือพ่อเล่
หลัง จากพี่สงครามพาผมไปบ้านพ่อแพรวซึ่งอยู่อีกฟากหนึ่งของถนนดินสูงหลายลูก ก็พามาส่งไว้บ้านพ่อเล่ที่เดิม แล้วก็กลับโดยบอกว่าอีกสองสามวันจะมาหา ผมเหลียวมองท้ายรถกระบะสีเขียวแก่ที่นำพาแกออกไป เขม่าควันรถยังพวยพุ่งในห้วงนึก ก่อนพบว่าความชื่นจิตชื่นใจของผมโดยสารไปกับรถพี่สงครามด้วย มันถูกแทนที่ด้วยเหงาและวังเวงเล็ก ๆ อย่างกะทันหัน เพราะในความคิดยังตั้งตัวไม่ทันว่าจะได้อยู่ “หมู่บ้าน” คนเดียวกับผู้คนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แต่ด้วยความที่เคยบวชเรียนเป็นเณรก้นกุฏิวัดรูปเดียวมานานหลายปี จึงไม่ยากต่อการปรับตัวปรับใจนัก
ผม นั่งคุยกับพ่อเล่ได้ไม่นาน ฝนก็ตกลงมาพร้อมกับลมพายุโหมกระหน่ำ เราเพิ่งคุยกันเรื่องฝนและผมเพิ่งชี้บอกพ่อให้ดูฝ้าขาว ๆ คล้ายหมอกที่โรยตัวบนภูเขาเหนือป่า พ่อเล่บอกว่ามันเป็นฝนเลือกตกเฉพาะบนภูเขานั้นแหละ ไม่ลงมาหมู่บ้านสักที ได้แต่วนเวียนอยู่รอบ ๆ แล้วก็พัดละอองฝนมาตกเปาะแปะให้ดีใจเล่นเท่านั้น แต่ว่าสิ้นคำสนทนาไม่นาน เราต่างมายืนตัวโยนแทบปลิว มือกุมเกาะเสากลางลานใต้ถุนบ้าน เหลียวไปมองรอบตัวอีกทีก็เห็นข้าวของอะไรต่อมิอะไรปลิวว่อนกระจัดกระจายตก เต็มพื้น
ลม ฝน ลูกเห็บ ตกลงมาพร้อมกันอย่างบ้าคลั่ง แม่เล่วิ่งไปหลบอยู่ในห้องน้ำ ส่วนพ่อเล่ยืนแอบอยู่ข้างเสาบ้าน พ่อเล่ตะโกนคุยกับผมแข่งเสียงฝนอื้ออึงว่าตั้งแต่มาอยู่ นี่เป็นครั้งแรกที่ฝนตกบ้าอย่างนี้
อัน ที่จริงผมก็เพิ่งเคยอยู่ท่ามกลางฝนตกแบบนี้เป็นครั้งแรกเช่นกัน ลมพัดมาแรงมากสั่นมะพร้าวตกเกลื่อนดิน สังกะสีก็สะบัดปลิวมาตกใกล้ ๆ บ้าน ทำให้ผมคิดเสียวไส้เพราะตอนเด็กได้ยินคนเล่าให้ฟังว่ามีคนถูกสังกะสีปลิว สะบัดคอขาดตายตอนลมพายุเข้า
พ่อ เล่ชี้ให้ดูลูกเห็บที่ตกขาวโพลนกระดอนกระเด้งไปมาเหมือนเขียดสีขาว ผมเก็บขึ้นมาดูหลายก้อนเมื่อมันกระดอนเข้าใต้ถุน มันเหมือนน้ำแข็งลูกเท่ามะยม ถ้ามันลูกโตกว่านี้ผมว่าหลังคาสังกะสีคงเอาไม่อยู่
ฝน เริ่มซาแล้วพ่อเล่เดินเหยาะ ๆ ไปเก็บลูกมะพร้าวจากโคนต้นมา คว้ามีดเฉาะกินน้ำ ผมวิ่งไปเก็บมาบ้างได้ ๓ ลูกถึงน้ำออกจะเปรี้ยวหน่อยแต่ก็กินเพราะเมื่อบ่ายตอนไปบ้านพ่อแพรว น้าเพื่อนบ้านบอกว่า น้ำมะพร้าวลูกแก่ ๆ กินเป็นยาดีมันช่วยล้างไตได้ ไตผมได้สะอาดก็คราวนี้แหละ
ฝนตกอยู่ประมาณครึ่งชั่วโมงก็ค่อย ๆ เบาลง ขาดสาย แล้วก็หยุด บรรยากาศเย็นชื้นขึ้นมาทันที ผิดกับก่อนหน้านั้นที่ร้อนอบอ้าว
เดิน ออกไปดูรอบ ๆ เห็นต้นไม้ใหญ่หลายต้นหักกิ่งระเนนลง มีบ้านหลังหนึ่งห่างจากบ้านพ่อเล่ไปสามหลัง ตัวบ้านยืนเปียกปอนโดยหลังคาเหลือแต่จั่วกับโครง สังกะสีถูกลมแกะออกพัดไปไหนไม่รู้ เจ้าของกับเพื่อนบ้านต้องออกตามหานำมารวบรวมไว้เหมือนเดิม เดินเลาะจนไม่รู้จะไปไหนต่อเลยกลับเข้าบ้าน อาบน้ำ และรอกินข้าว
เย็น นี้แม่เล่ทำทอดไข่ใส่หัวหอมแดงกับลวกผักบุ้ง และน้ำพริกให้กิน เราต้องไปตามเก็บพวกจาน ชาม หม้อ กะละมัง ที่โดนลมเตะกระจายมาล้างคราบดินออก
เรา นั่งคุยเรื่องต่าง ๆ ระหว่างกินข้าวจนอิ่มหน่ำ พ่อกับแม่ก็ออกไปหาอึ่งในป่าลึกปล่อยให้ผมอยู่บ้านคนเดียว ทีแรกผมขอไปด้วยเพราะเห็นว่ามีหม้อแบตฯอยู่สองอัน แต่พ่อเล่บอกว่ากลัวจะเดินหลงทางเพราะมันมืดแถมมีแต่ป่าไม้ อีกทั้งยังไม่รู้จักเส้นทาง พ่อเลยให้อยู่เฝ้าบ้านและออกไปกับแม่สองคน
อยู่ คนเดียวจะทำอะไรได้ล่ะ นอกจากเงียบแล้วนอนเขียนตัวหนังสือ แมลงเม่าบินฉวัดเฉวียนตอมไฟนีออนก่อกวนสมาธิอยู่พักใหญ่จึงหับสมุดวางไว้ ก่อนนั่งรอการกลับมาของพ่อเล่แม่เล่ ระหว่างนั้นผมนั่งนึกว่าจริง ๆ แล้วยังไม่รู้ชื่อเล่นของพ่อกับแม่สองคนนี้เลย ได้แต่ฟังพี่สงครามเรียกพ่อเล่แม่เล่ก็เลยเรียกตาม พี่สงครามบอกว่าคนหมู่บ้านนี้จะเรียกชื่อลูกแทนชื่อพ่อแม่ของคน ๆ นั้น ผมเลยรู้จักแต่ชื่อลูกของแก ยังไม่ทันรู้จักชื่อพ่อกับแม่เลย
ในห้วงนึกอีกครั้งจึงได้แต่บอกตัวเองว่านี่แหละ “หมู่บ้าน” สิ่งที่เรากำลังจะค้นหาคำตอบ
ที่ มา http://thaivolunteer.org/myweb/index.php?option=com_content&view=article&id=148:2011-12-04-14-59-20&catid=13:2011-07-09-14-04-31&Itemid=18