“สวนธรรมดา” สวนเล็กๆ แสนธรรมดา แต่เป็นห้องเรียนธรรมชาติที่ทำให้ผมเกิดการเรียนรู้ธรรมชาติได้อย่างมากมาย…
สาย ฝนเทกระหน่ำจนลืมหูลืมตาไม่ขึ้น ต้องหลบใต้ชายคาศาลากลางน้ำรอจนฝนซาลง ปลาในบ่อคงดีใจที่มีน้ำฝนใหม่มาเพิ่ม ใบไม้สีเขียวสดเต็มต้น ต้นไม้ได้ความชุ่มชื้นของน้ำฝนแตกยอดออกใบพุ่งตัวขึ้นไปรับแสง ไม่ใช่แบบใครใหญ่ใครอยู่นะแต่อยู่แบบพึ่งพาอิงอาศัยกันและกัน
มองจากใต้ชายคา ผมมองเห็นใบไม้นานาชนิดอยู่ร่วมกัน ทั้งต้นไผ่ไร่ลำโค้งจากด้านบนลงมาริมบ่อไม้ ใบประดู่เขียวแก่แลร่มครึ้ม ใบปาล์มชวาเหมือนฝ่ามือโตสีเขียว ใบมะกอกยอดอ่อนสีน้ำตาล ใบแก่ออกสีเขียวอ่อน ลำต้นตรงของหมากนวลออกใบเขียวนวล แทรกด้วยใบลำไยเขียวเข้มกับใบเล็กๆ ของต้นแค พอมีเวลาดูละเอียดผมเริ่มเห็นความงามของความหลากหลายใน “สวนธรรมดา”
ผมซื้อที่ดินต่อมาจากลุงมา ช่วงก่อนที่ดินจะบูม ที่ได้สวนตรงนี้มาเพราะก่อนหน้านี้ผมซื้อที่ชาวบ้านแถวแม่มาลัย อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ ปลูกกล้วย ปลูกลำไย ไม้สัก เต็มพื้นที่ 14-15 ไร่ สมัยนั้นขับรถมอเตอร์ไซด์ไปเกือบชั่วโมง ไปดูแลสวน ทำนู้นทำนี่ ทำได้พักเดียวตกเย็นก็ได้เวลากลับบ้าน พอต้นลำไยเริ่มโต เผลอไม่ไปดูแลหน่อยเดียว หน้าฝนหญ้าขึ้นเต็ม หน้าแล้งไฟเข้าสวน ต้นไม้ตายหมด ชาวบ้านบอกว่า “สวนไกลตา นาไกลบ้าน” มักไม่ได้ผลดี การดูแลไม่ไหว ดูแลได้ไม่ดี ผมจึงตัดสินใจขายแล้วมาซื้อที่ใกล้ตาใกล้บ้าน 1 ไร่ครึ่ง แค่นี้ก็พอดูแลไหวอยู่
สวนธรรมดา เดิมเป็นที่นา จากนั้นจึงค่อยๆ ขุดบ่อเลี้ยงปลา เอาดินมาถมพื้นที่ให้สูงขึ้น แล้วปลูกมะม่วง ลำไย ฝรั่ง มะขามหวาน กระท้อน มะพร้าวน้ำหอม ใช้ปุ๋ยคอกไม่ใช่ปุ๋ยและยาเคมี ปล่อยไปตามธรรมชาติ ดูแลแบบธรรมชาติ แต่ไม่ใช่ปล่อยปละละเลยนะ
พบเจอต้นไม้น่าปลูก หอบหิ้ว ปลูกลงไปในสวนครั้งละต้นสองต้นจนแน่นทึบ มีทั้งไผ่ไร่ ไผ่สีทอง ไผ่ฮก ไม้รวก ไม้สัก มะขามเทศ ประดู่ มะค่า ยางนา ต้นไทร ปาล์มขวด ปาล์มชวา ปาล์มเจ้าคุณตรัง ปาล์มจีน ต้นตองก๊อ ต้นเขือง ต้นข่อย ต้นจั๋ง ต้นสัก ต้นต๋าว ต้นเพกา ต้นหมาก ต้นแหย่ง ขี้เหล็ก กันเกรา สาละ อโศก โมก ปีบ หากนับรวมกันคงเป็นร้อยๆ ชนิด แต่ละชนิดมีลักษณะเฉพาะของตัวเอง ทั้งลำต้น ใบ ดอก ผล อย่างน่าฉงน ถ้ามีเวลาสนใจดูจริงๆ ทุกวันนี้บางครั้งต้องเดินวนอยู่รอบสองรอบ จึงจะหาที่ปลูกต้นไม้เพิ่มในสวนได้
มองเห็นต้นไม้ที่เราปลูกกับมือ ออกยอด ผลิใบ เติบใหญ่ขึ้นที่ละนิดทีละน้อย จนออกดอก ออกลูก ออกผล แผ่กิ่งก้านใบให้ร่มเงา น่าชื่นใจ หายเหนื่อยที่ได้ลงแรงกายแรงใจในการดูแล ตอนเช้ามีเวลากวาดใบไม้ที่ร่วงหล่นบ้าง ตัดกิ่งแห้ง กิ่งที่ย้อยขวางทางบ้าง พอได้เหงื่อ นับเป็นการออกกำลังกายที่แสนวิเศษ ตอนเย็นหรือวันหยุด เดินดูต้นไม้ต้นนั้นกำลังผลิใบ ต้นนี้ดอกกำลังบาน ต้นโน้นกำลังทิ้งใบ เพลิดเพลินใจ คลายความเครียดจากการทำงานได้เป็นอย่างดี
พอต้นไม้เติบโตขึ้น นกนานาชนิดก็เริ่มเข้ามาอาศัย ได้ยินเสียงร้องบทเพลงธรรมชาติเจื้อยแจ้ว นกไม่ใช่แค่มาร้องเพลงเสียงดังให้ผมฟัง ผมสังเกตดูในสวนมีต้นไม้ที่ผมไม่ได้ปลูกขึ้นแทรกแซมอยู่หลายชนิด ผมคิดว่ามาจากนกนี่เอง
ต้นข่อย ต้นฉำฉา ต้นไทร ต้นไม้พวกนี้ขึ้นตอนไหน โตเมื่อไหร่ ไม่ทันได้จดจำ แต่รู้ว่าเติบโตเร็วมาก ตอนนี้ต้นสูงใหญ่ แซงหน้าต้นไม้ที่ผมปลูกไว้อีก ทำให้ได้คิดว่าอะไรที่อยู่ในถิ่นที่ของเขา เติบโตแบบธรรมชาตินั้น แข็งแรงและเติบโตรวดเร็วกว่าไม้ถิ่นอื่นที่นำเข้ามาปลูก
เหมือนปลาในบ่อ ผมซื้อลูกปลานิล ปลาใน ปลาสวาย ปลาจาระเม็ดน้ำจืดมาเลี้ยงสัก 2,000 ตัว ตอนที่ตัวเล็กๆ ก็ไม่ต้องดูแลมาก ให้หากินอาหารธรรมชาติในบ่อ พอปลาตัวโตขึ้น ตัวผอมหัวโต ผมต้องไปซื้ออาหารมาเลี้ยง เสริมอาหารให้บ้าง ช่วงฤดูฝนที่ผ่านมาน้ำหลาก มีปลาช่อนเข้ามาอยู่สี่ห้าตัว ปลาช่อนโตเร็วมาก เผลอพักเดียวตัวเท่าแขน เริ่มออกลูกสองสามแม่ ลูกปลาช่อนตัวแดงดำผุดดำว่ายรวมกันเป็นกลุ่มๆ ละหลายร้อยตัว แม่ปลาคอยเฝ้าระวังอยู่ด้านล่าง ปลาช่อนรักลูก ดูแลลูกไม่ให้ถูกปลาอื่นกิน ไม่รู้เด็กรุ่นหลังๆ ยังได้เห็นได้รู้เรื่องปลาช่อนรักลูกกันบ้างหรือเปล่า
ผมเลยคิดใหม่ว่าเลี้ยงปลาช่อนตามธรรมชาติน่าจะดีกว่า ไม่ต้องให้อาหาร ไม่ต้องดูแลอะไรมาก ลูกปลาก็ไม่ต้องซื้อ อาหารก็ไม่ต้องซื้อ ปลาธรรมชาติหากินตามธรรมชาติ เติบโตตามธรรมชาติ
“สวนธรรมดา” แค่สวนเล็กๆ แสนธรรมดา แต่เป็นห้องเรียนธรรมชาติที่ทำให้ผมเกิดการเรียนรู้ธรรมชาติได้อย่างมากมาย
ปัจจุบัน คนเราเริ่มไม่อยู่แบบธรรมชาติ กินก็ไม่กินอาหารแบบธรรมชาติ ปรุงแต่งจนพิสดารไปมากมาย เสื้อผ้าอาภรณ์ก็เริดหรูเกินธรรมชาติ เครื่องสำอาง เครื่องประดับตกแต่งจนแทบจะหาความเป็นธรรมชาติในกายแทบไม่มี
เมื่อธรรมชาติในกายไม่มี ไม่ต้องถามถึงธรรมชาติในจิตใจ ลองดูเรื่องราวที่เกิดขึ้นในสังคมปัจจุบัน มีเรื่องผิดธรรมชาติที่คนเราไม่น่าจะทำได้ลงคอเกิดขึ้นมากมาย
ลองหาเวลาอยู่กับธรรมชาติบ้าง สวนหน้าบ้าน สวนหลังบ้าน ดูการเติบโตของธรรมชาติ ฟังเสียงนก ดูการเดินของหนอน ดูการนอนของแมลง พร้อมกับดูลูกสอนหลานให้อยู่ใกล้ชิดธรรมชาติ เติบโตอย่างเป็นธรรมชาติ ดูแลกายดูแลใจที่เป็นธรรมชาติของเราให้เติบโตเข้มแข็งตามธรรมชาติ
ความเป็นธรรมชาติอยู่ในกายอยู่ในใจเรา อยู่รอบ ๆ ตัวเรานี่เอง
เขียนโดย ชัชวาลย์ ทองดีเลิศ