ชีวิตคนเราง่าย ๆ อย่าคิดให้ยาก เมื่อเราคิดยากเมื่อไหร่ ชีวิตจะทุกข์มากขึ้น ๆ  อยู่กับปัจจุบัน ทำปัจจุบันให้ดีที่สุดตามที่เราฝัน ชีวิตก็เท่านี้เอง

หลังเสร็จจากการทำบ้านดินแล้ว ชาวค่ายชวนกันไปเที่ยวบ้านของโจน จันได ผู้ถ่ายทอดความรู้เรื่องการทำบ้านดิน อยากรู้ว่าชีวิตความเป็นอยู่ บ้านช่องห้องหอของ โจน จันได เป็นอย่างไรหนอ ?

แค่ทางเข้าบ้านก็สุดยอด เป็นทางดินแยกจากถนนคอนกรีตของหมู่บ้านเข้าไป ผ่านทุ่งนา ผ่านสวนมะม่วง สวนลำไย ทางโค้งไปโค้งมา มีร่องลึกเป็นช่วง ๆ ถนนดินค่อย ๆ สูงขึ้น ๆ จนทอดสายตาออกไปเห็นผืนนาเป็นแอ่งกระทะ มองเห็นหมู่บ้านอยู่เบื้องล่าง  มีภูเขาเป็นฉากหลัง บ้านของ โจน อยู่สูงกว่าบ้านใคร ๆ ในแถบนี้ เหมือนบ้านหัวหน้าเผ่า มองลงไปเห็นบ้านทุกหลัง โจน กลับบอกว่า ที่ดอนสูงนี้เคยเป็นสวนที่ขาดแคลนน้ำ เจ้าของทำอยู่หลายปี สู้ไม่ไหว เลยขายต่อให้ในราคาถูก แล้วเจ้าของก็ไปหาซื้อที่ดินผืนใหม่

เพิงไม้ ผสมผสานกับดิน เป็นบ้านที่เรียบ ๆ ง่าย ๆ โล่ง ๆ โปร่งสบาย ด้านหลังเป็นครัว ด้านหน้าเป็นที่รับแขก นั่งคุย นั่งเล่น นั่งอ่านหนังสือ นั่งกินข้าว

โจน ต้อนรับคณะเราด้วยน้ำกล้วย ที่ไม่เคยลิ้มรสที่ไหนมาก่อน หวาน หอมกลิ่นกล้วย ชื่นใจดีจัง

“ผมปลูกกล้วยได้เยอะ กินกล้วยสุกจนเบื่อ ทำกล้วยตากก็ยังเหลือ เลยเอาหมักใส่ถัง โรยน้ำตาลลงไป ปิดฝาไว้สัก 15 วัน ก็ได้กินน้ำกล้วยแล้ว ทำง่าย ๆ”

ผมเดินไปรอบ ๆ เพิง เห็นถังใส่กล้วยไว้เป็นสิบ ๆ ถัง  โจนตั้งใจจะทดลองทำน้ำกล้วย ถ้าได้รสคงที่แล้วจะทดลองนำไปจำหน่ายดู บนหลังคามีกล้วยตาก ราวด้านหน้ามีกล้วยสุกทั้งเครือแขวนไว้ต้องรับผู้มาเยือน

โจน พาเดินไปดูแปลงผักที่ปลูกไว้ทั่วพื้นที่ เป็นผักที่เก็บเมล็ดพันธุ์เอง ปลูกเองบ้าง มีผู้ฝึกงานจากต่างประเทศช่วยปลูกบ้าง

ด้านล่างสุดเป็นที่นา ปลูกข้าวเอาไว้กิน ขุดบ่อน้ำ กักเก็บน้ำไว้รดผักและไม้ผลทุกอย่างในพื้นที่  ใช้เครื่องปั๊มน้ำ สูบน้ำไปใช้ที่บ้านและสวนผักบนเนินสูง

บ้านดิน ถูกสร้างกระจายอยู่ทั่วพื้นที่ บ้านดินที่สร้างง่าย ๆ พอทาสีขาว สีน้ำตาล ใส่ผ้าม่านดูมีสง่าราศีมาก ส่วนใหญ่สร้างโดยผู้ฝึกงานที่มาจากต่างประเทศ มาฝึกการใช้ชีวิตที่เรียบง่าย ปั้นดิน สร้างบ้านดิน ปลูกผัก ทำอาหารกินกันเอง แล้วก็นอนบ้านดิน

ช่วงที่พวกเรามาเยือน ก็มีผู้ฝึกงานจากต่างประเทศ 10 กว่าคน โจนบอกว่ามีมากันตลอดทั้งปี

ก้อนดินที่ปั้นตากแดด เรียงรายอยู่เต็มลาน ห้องประชุมบ้านดินกำลังอยู่ในระหว่างการก่อสร้าง อยู่บนจุดสูงสุดของพื้นที่ ดูเด่นตั้งตระหง่าน ฉาบ ทาสี ด้วยส่วนผสมน้ำยางพารา ที่มีเพื่อนจากทางภาคใต้นำมาฝาก น้ำยางพาราช่วยทำให้ผนังบ้านดินทนทาน

บ้านทรงกลม มีช่องหน้าต่างโล่ง ๆ ด้านในทำเป็นชั้นลดหลั่นเป็นทางขึ้น เชื่อมกับบันไดไม้ที่ทอดขึ้นชั้นบน เมื่อขึ้นชั้นบนมองได้โดยรอบทิศ รับสัมผัสลมเย็นสบาย

“เอ๊า…พวกเรามาดูส้วมที่สร้างจากดิน” โจน เดินนำหน้าไป

สูง ๆ กลม ๆ เหมือนหอคอยขนาดเล็ก ข้างบนมีช่องที่นั่งถ่าย มีโอ่งน้ำ และโอ่งแกลบ ถ่ายเสร็จ ตักแกลบโรยลงไปกลบ ด้านล่างทำเป็นช่องโปร่งให้อากาศระบายผ่านได้สองด้าน และมีช่องสำหรับโกยออก นำไปเป็นปุ๋ยชั้นดีสำหรับการปลูกผัก

“ผักที่เห็นแต่ละแปลง เป็นผักต่างชนิดกัน ปลูกไว้เพื่อเก็บเมล็ดพันธุ์ การจะพึ่งตนเองให้ได้ ไม่ใช่แค่บ้านดิน แต่ต้องเก็บเมล็ดพันธุ์พืชผักไว้ปลูกสำหรับเป็นอาหารได้เองด้วย อยู่บ้านดินแต่ซื้อกินทุกอย่างก็ยังเรียกว่าพึ่งตนเองไม่ได้” โจน บอกถึงหลักการพึ่งตนเองที่ต้องมีปัจจัย 4 ให้ครบ

โจน จันได พาเดินมาจนถึงบ้านดิน ที่เป็นเรือนหอของตัวเอง ด้านหน้ามีที่นั่งพัก ผูกแปลไว้นอนเล่น ร่มรื่นด้วยซุ้มกระทกรก เป็นบ้านดิน 2 ชั้น ด้านล่างเป็นที่อ่านหนังสือกับที่นั่งทำงาน ส่วนด้านบนเป็นห้องนอน

คนเรา อยากกิน อยากอยู่อย่างไร แล้วได้ทำตามความฝันได้ ก็ถือว่าเป็นยอดคน

ผมนับถือ โจน จันได ผู้ชายที่เดินตามความฝันได้ทันในชั่วอายุ

ปัจจุบันนี้ กระแสสังคมทำให้คนคิดเหมือน ๆ กัน อยากอยู่บ้านหรูราคานับล้าน อยากกินของแพง มื้อละเป็นพันเป็นหมื่น อยากทำทุกอย่างตามคำโฆษณา

โจนบอกว่า “คนเราก็แปลก ทำงานหาเงินมาซื้อโทรทัศน์ แล้วก็มานั่งดูบรรดาบริษัทต่าง ๆ โฆษณาล้างสมองเราในบ้านตัวเองทุกวัน แล้วเราก็อยากเป็นเหมือนในละครทีวี อยากจ่ายเงินซื้อสินค้าตามที่โฆษณาทีวี ดูทุกวัน ๆ เราเลยกลายเป็นทาสโฆษณา โดยมีนายทาสมาบอกให้เราจงไปซื้อนั่น ซื้อนี่ ทุกวี่ทุกวัน”

ผมฟังแล้วสะกิดใจ เออ…จริงด้วยนะ   แง่คิดมุมมองของคนที่อยู่กับดิน ตั้งคำถามต่อกระแสสังคมได้อย่างน่าฟัง

ธาร ลูกชายของโจน วิ่งนำหน้าพ่ออยู่ไม่ห่าง คลอเคลียขอให้พ่ออุ้มบ้าง ขอขี่คอพ่อบ้าง ขณะที่พาพวกเราเดินชมบ้านชมสวนอย่างร่าเริง

เดินอ้อมลงทางด้านหลังครัว ผ่านเตาเผาถ่านปั้นด้วยดิน ต่อท่อสูง เจาะรอเก็บ “น้ำส้มควันไม้” เอาไว้ผสมน้ำรดผัก

เศษอาหารจากครัว หมักกองไว้ข้างเตาเผาถ่าน รอให้ย่อยสลายแล้วนำไปใช้เป็นปุ๋ยให้กับพืชผัก

กิจกรรมทุกอย่าง ณ บ้านดินแห่งนี้ สัมพันธ์เชื่อมโยงครบวงจรบนเส้นทางของการพึ่งตนเองของชีวิต

ชีวิตคนเราง่าย ๆ อย่าคิดให้ยาก เมื่อเราคิดยากเมื่อไหร่ ชีวิตจะทุกข์มากขึ้น ๆ อยู่กับปัจจุบัน ทำปัจจุบันให้ดีที่สุดตามที่เราฝัน ชีวิตก็เท่านี้เอง

ข้อคิดสำคัญที่ โจน จันได ทิ้งไว้ให้ทุกคนก่อนที่จะเดินทางกลับ ยังดังก้องอยู่ในใจผมตลอดเส้นทาง

เขียนโดย ชัชวาลย์ ทองดีเลิศ อาสาสมัครรุ่น 1

http://www.thaivolunteer.org/