ความหมายเล็กๆ ของการมีชีวิตอยู่
อาจารย์ ประมวล เพ็งจันทร์
จากสภาวะที่ผ่านมาเราตั้งแต่เล็กจนโตเราถูกฝึกให้คิดถึงแต่ความสำเร็จ และความสำเร็จนั้นมักจะเป็นเรื่องส่วนตัว และแม้กระทั่งที่เราพูดว่าความสำเร็จนำมาซึ่งความสุข แต่ความสุขนั้นก็เป็นเรื่องส่วนตัว แต่จริงๆแล้วในความเป็นธรรมชาติ นั้นความเป็นมนุษย์เรา มันไม่ได้แยกส่วนเป็นคนๆ ความเป็นมนุษย์มันผูกพันธ์ยึดโยงกัน เราไม่สามารถเป็นคนดีได้ถ้าเราอยู่คนเดียว บนโลกใบนี้ เราไม่สามารถเป็นคนสวย ได้ถ้าเราเป็นมนุษย์คนเดียว
อ. ประมวล ได้พบว่าแท้จริงพื้นฐานที่สำคัญ ที่สุดของความเป็น มนุษย์คือเราต้องมีจิตคิดถึงความหมายของ ความสำเร็จ ความสุข หรือความดีงาม ทั้งหมดทั้งมวลนี่แหละที่ยึดโยงกับเพื่อนมนุษย์ ที่จะใช้คำว่าจิตอาสาและความหมายที่ทำให้คนเกิดความรู้สึกว่า เราจะต้องมีจิตคิดถึงผู้อื่น แต่จริงแล้วไม่เพียงต้องมีจิตคิดถึงผู้อื่น แต่ควรต้องตระหนักรู้อย่างแท้จริง เพราะเป็นตัวตนของคนแต่ละคนมันมีความหมายยึดโยงกับผู้อื่น นับจำนวนไม่ถ้วนเลย และถ้าหากเราค้นพบความจริงตรงนี้ เราจะพบว่าแม้กระทั่งความสุข ความหมายที่ดีของชีวิต ถ้าเราค้นพบประเด็นที่เรียกว่าจิตอาสา หรือว่าจิตอาสาเกิดขึ้นในจิตสำนึกรู้ของเรา เราจะพบเลยว่า เราจะสามารถมีชีวิตอยู่ได้อย่างดีงาม เราจะทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้ไม่รู้จักจบจักสิ้น เพียงแค่เราจับจุดเล็กๆได้ว่า ความหมายในการมีชีวิตของเราคือการทำให้ผู้อื่นมีความสุข ทำให้ผู้อื่นมีความเบิกบาน ถ้าหากเราจับจุดตรงนี้ได้โลกใบนี้น่าอยู่ขึ้นเยอะ ถ้าหากเรารู้ว่าความสุขที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่ตัวเราเอง
ผมเองก็เลองเปรียบเทียบดูอย่างนี้ ผมเป็นครูสอนหนังสือ และเป็นคนที่ชอบทำอาหาร และผมได้พบความจริงอันหนึ่งว่าในชีวิตของคนๆหนึ่งที่ชอบทำอาหาร ถ้าผมอยู่คนเดียวผมไม่เคยทำอาหารดีๆกินเลย มีอะไรอยู่ในตู้เย็นก็หยิบมาทำ วันหนึ่งมีเพื่อน มีแขกมาที่บ้าน ผมจะมีความสุขมากกับการที่ได้ทำอาหาร และจะมีความสุขมากขึ้นไปอีกเมื่ออาหารที่ทำเองแล้วเค้ากินแล้วบอกว่าอร่อย ผมเลยค้นพบว่า อันนี้เองคือความหมายอันเดียวกับชีวิต ที่เรากำลังค้นหาอยู่ ชีวิตที่มันดีงาม คือชิวิตที่เรามีชีวิตอยู่ แล้วชีวิตเราเป็นเหตุ เป็นปัจจัย เกื้อกูลให้ คนที่อยู่ใกล้ชิด ติดกับเราเค้ามีความสุข แล้วพอเราคิดได้เช่นนี้ เรารู้สึกได้อย่างนี้ ความหมายที่แท้จริงหรือจิตอาสา มันจึงปรากฎณ์ขึ้นโดยที่เรา ไม้ต้องไปเสียเวลาคิดว่าจะต้องมีเหตุผลอะไรมากมาย คำถามที่ว่าผมรู้สึกยังไงกับจิตอาสา ผมบอกได้เลยว่า ว่าเคล็ดลับของการมีชีวิตอยู่ และความหมายของชีวิตที่เรา จะทำให้มันเป็นความหมายที่กระจ่างชัดถึงความดีความงาม อยู่ที่เราสามารถทำจิตของเราให้มีความสุข รู้สึกที่จะใช้ตัวเองให้เป็นตนที่เกื้อกูลให้ผู้อื่นมีความสุข
ผมพบความหมายนี้ และความหมายที่ผมได้พบนี้มันไม่ใช่สูตรสำเร็จ มันไม่ได้เป็นเคล็ดลับ ไม่ได้เป็น knowhowที่ซับซ้อนอ ะไรเลย แต่มันมีความหมายที่ทำให้รู้สึกว่าพอผมรู้สึกอย่างนี้แล้ว จริงคิดอย่างนี้มาได้นานแล้ว แต่มันติดอยู่ในความคิด อยู่ในทฤษฏีที่ผมเรียนมา ทางปรัญชา แต่วันนี้ผมพบว่ามันมากกว่าความคิด มันคือความรู้สึก ที่เป็นในตัวตน ความรู้สึกนึกคิดของเรา ผมมีความสุขที่ได้ตื่นนอนแต่เช้ามืดก่อนภรรยา เพื่อจะมาต้มน้ำชงกาแฟ และชงไปให้ มันไม่ใช่เรื่องใหญ่เลย แต่เมื่อก่อนผมจะมีความรู้สึกเป็นเหตุผลสารพัดเลย ว่าผมทำงานหนัก และการที่ต้องตื่นขึ้นมาต้มน้ำชงกาแฟเป็นภาระที่หนัก แต่ความจริงผมรู้สึกมีความสุขมากที่ รู้ว่าภรรยายังไม่ตื่นและผมได้ตื่นก่อน มาทำอะไรให้เค้า มันเป็นเรื่องอะไรที่เล็กมาก แต่นี่แหละที่ผมคิดว่าเป็นความหมายทียิ่งใหญ่ของชีวิต เพราะผมมีความสุขที่ได้มีชีวิตอยู่ และในชีวิตแต่ละวัน ก็มีความสุขที่ได้ทำอะไรให้ผู้อื่น
ย้อนไป เมื่อปี 50 ทั้งปีนั้น ได้กลับไปทบทวนชีวิตที่อินเดีย เคยไปอยู่ที่นั้นสมัยหนุ่ม การที่กลับไปเรียนอีกครั้ง เพื่อที่จะใช้ แผ่นดิน สถานที่ สังคม ทบทวนตนเอง ผมได้ตั้งเงื่อนไขกับตนเองในครั้งนี้ว่า การกลับไปครั้งนี้จะเป็นการเคารพอินเดีย เพราะฉะนั้นผมจะทำชีวิตจิตใจของผมให้อิสระที่สุด อย่างแรกคือ จะไม่มีความขุ่นมัว จะไม่มีความวิตกกังวล ขัดข้อง ขัดแย้งอะไรกับสภาพภายนอก ผมจะปล่อยให้ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับผมเป็นสิ่งที่งดงามที่ผมพร้อมจะน้อมรับ ผมใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นนานหลายเดือน ทุกๆวันผมมีชีวิตอย่างเรียบง่าย ผมไม่ต้องการจะไปทำอะไรให้สะดวกสบาย พอมืดผมเห็นที่ไหนพอนอนได้ไม่ว่าจะเป็นตามข้างทาง ตามที่จอดรถ สถานนีรถไฟ จะที่ไหนผมก็นอนได้อย่างมีความสุข มีอะไรที่ผมกินได้ผมก็กิน
ผมรู้สึกว่าตนเองหลุดออกมาจากกรอบ เมื่อก่อนผมคาดหวังที่จะประสบความสำเร็จ คาดหวังความสะดวกสบาย คาดหวังอะไรหลายๆสิ่งจากโลกใบนี้ แต่วันหนึ่งที่ผมไม่ได้คาดหวังอะไรมากเพราะผมรู้ว่าโลกใบนี้ให้อะไรผมมาเยอะ แยะมากมายแล้ว และความไม่คาดหวังตรงนี้แหละที่ทำให้ผมความสุข มีความสุขแม้กระทั่งผมนอนอยู่ริมถนน มีความสุขที่ได้รอเพื่อที่จะได้เข้าไปไหว้พระที่อินเดียกับชาวอินเดียนับแสน รออยู่ 4-5 ชั่วโมงผมก็ยังรอได้อย่างมีความสุข และผมก็มีความสุขมากเมื่อผมได้คุกเข่าลง และหน้าผากได้สัมผัสกับพื้นที่ศักดิ์สิทธ์ และตรงนี้เองที่ทำให้ผมได้พบว่าความหมายของชีวิตที่มีอยู่ ถ้าเมื่อใด เราหลุดออกมาจากกรอบกำหนดที่เราใช้ความอยาก ความต้องการที่เราต้องการอะไรบางสิ่งบางอย่าง จากโลกใบนี้ได้ มันจะกลายมาเป็นห่วงที่ผูกพันกัน ผมมีความสุขมากที่ได้รู้ว่าอิสระภาพที่ยิ่งใหญ่ไม่ได้ อยู่ที่เครื่องพันธการของโลก เหมือนกับคนพิการมันไม่ได้อยู่ที่ร่างกาย พิการ แต่มันอยู่ที่จิตใจ เราสามารถใช้สิ่งที่มีอยู่ให้เกิดความสวยงามได้ เพราะฉะนั้น ความหมายที่ผมพูดถึงความอิสระก็คืออิสระจากเครื่องพัทธนาการ อิสระจากความรู้สึกบกพร่อง
มีคนมาบอกว่ามีน้ำอยู่ในแก้วนิดเดียว คนมักจะมองว่าน้ำเหลือน้อย แต่จริงแล้วเราสามารถมองได้ว่ามันยังมีน้ำอยู่ในแก้วนี้ เรามองน้ำส่วนที่มี เราไม่ได้มองที่แก้ว ใบโตมีน้ำนิดเดียว ผมอยากจะบอกกับใครก็ตามที่เขามีความทุกข์ อยากจะบอกกับใครก็ตามที่เค้ามีปัญหามากมายเหลือเกิน อยากจะบอกกับเขาว่า ” ไม่หรอก เขายังมีความสามารถที่จะอยู่อย่างไม่มีทุกข์นะ ยังมีความสามารถที่จะอยู่อย่างไม่มี สิ่งที่คิดว่าเลวร้ายนะ เพียงแค่นำสิ่งเหล่านั้นมาคิดกลับนิดเดียว ก็จะเป็นความหมายที่ดีของชีวิต” ผมเชื่อว่าความล้มเหลวก็มีคุณค่าไม่น้อยไปกว่าความสำเร็จ ความทุกข์ก็มีค่าไม่น้อยไปกว่าความสุข ที่สำคัญแม้กระทั่งความเจ็บปวดที่เราสามารถรับรู้ได้ก็มีคุณค่ากับเรา หากเราคิดได้อย่างนี้ เราก็จะรู้สึกดีๆ หากวันหนึ่งที่เราได้พบกับความทุกข์ ความล้มเหลว ให้นึกถึงเรื่องราวของมัน เราก็จะสามารถต้อนรับสิ่งเหล่านั้นได้ด้วยจิตใจที่เบิกบาน
สัมภาษณ์ เรียงเรียงโดย ศิริวิภา ศโรภาส