“ นี่นี่เสาร์อาทิตย์นี้ไปไหนกันดี ” บ่อยครั้งเป็นคำถามที่เรามักถามเพื่อนๆ คนสนิท คนรักในวันสุดสัปดาห์ ถ้าไม่เหนื่อยจากการทำงานพักผ่อนอยู่ที่บ้าน เรามักจะชวนกันเดินทางไปข้างนอกบ้าน อาจเป็นในเมือง หรือไปต่างจังหวัด หลายคนที่เลือกไปทะเล ภูเขา มักต้องการปลีกตัวเองออกจากความวุ่นวายต่างๆ ได้ความสงบกลับเป็นพลังในการทำงานต่อไป แต่ในสภาวะปัจจุบัน  ซึ่งเราเองมักกังวลกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น และอาจไม่พอใจไม่ยอมรัในเรื่องต่างๆที่ผ่านมา ปัญหาต่างรุมเร้า ที่บ้าน ที่ทำงาน หลายครั้งการไปพักผ่อนก็ ไม่ง่ายนักที่จะทำให้ใจสงบได้ มีคนเคยถามผมตอนกำลังขับรถตอนเดินทางไปจังหวัดในผ่านทิวไม้หนึ่งว่า ในช่วงระหว่างที่ใบไม้แต่ละใบร่วงหล่นจากกิ่งก้านลงสู่พื้นดินนั้น อะไรที่ทำให้ใบไม้ไหวปลิว เป็นสายลมที่โชยผ่านหรือตัวลักษณะของใบใม้เองกันแน่
ผมคงไม่เฉลย แต่อยากบอกว่าเสริมว่าในหลายครั้ง ที่เรามีความทุกข์ เราเองก็จะพยายามแสวงหาความสุขให้กับตัวเองในรูปแบบต่างๆ ไป ตามที่ตัวเองคิดว่าน่าจะดีขึ้น ให้ลืมความทุกข์ แต่หลายครั้งเราพบว่า สักพักความรู้สึกกังวลร้อนรนเดิมๆที่เหมือนหายไปแล้วก็กลับมา ทำไม่จึงเป็นเช่นนั้น มันไม่หายไป คำพูดเดิมๆที่เคยได้ยินคนสมัยก่อนพูดก็ผุดขึ้นมาว่า “ อยากได้สิ่งไหน จงให้สิ่งนั้น “ บางทีการได้มาเพราะความอยาก อาจไม่ได้อะไรเลย แต่การให้อย่างไม่มีเงื่อนไข อาจนำมาซึ่งการได้รับอย่างประเมินค่าไม่ได้ วิธีหนึ่งในการแสวงหาความสุขที่ดีที่สุดคือการไม่แสวงหาความสุขให้ตัวเอง เมื่อเรา “หยุด” เราจึง “ค้นพบ” ผ่านการให้ในรูปแบบต่างๆ

ในวันหยุดสุดสัปดาห์ เราสามารถนำ แรงและเวลาที่มี ไปช่วยทำกิจกรรมจิตอาสาช่วยเหลือสังคมในรูปแบบต่างๆได้ ไม่ว่าจะเป็นปลูกป่าชายเลน อาบน้ำหมา เลี้ยงอาหารแมว ทำงานจิตอาสาในโรงพยาบาล สอนศิลปะเด็กด้อยโอกาส  เพื่อนเล่นกิจกรรมกีฬากับเด็กพิการทางหู ละครเร่อาสา ครูอาสา เป็นต้น เหล่านี้เป็นเพียงรูปแบบหนึ่ง ในหลากหลายรูปแบบของงานจิตอาสา ที่มีเป้าหมาย คือการทำให้ตัวเราเล็กลง ให้ผู้อื่นมากขึ้น ในขณะเดียวกัน เราเองได้เจอเพื่อนใหม่ ที่มากจากหลากหลายสาขาอาชีพ ต่างสถาบัน ต่างวัย พร้อมทั้งเราได้เรียนรู้เพื่อนๆ ที่เราเชิญชวนมาทำความดีร่วมกันมากขึ้น พ่อแม่ได้ชวนลูกไปทำกิจกรรมอาสาขุดดินร่วมกัน ได้ปลูกฝังให้เด็กได้เรียนรู้ที่จะให้ ทั้งยังสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัวผ่านการช่วยเหลือซี่งกันและกัน พนักงานบริษัทได้เรียนรู้การทำงานเป็นทีมมากขึ้นลดความขัดแย้งผ่านกิจกรรม จิตอาสา เรื่องเหล่านี้เป็นสิ่งที่ต้องลองดูเองว่าจริงหรือไม่

แล้วเราจะเริ่มได้อย่างไรนั้น ให้ถามตัวเองว่า เมื่อวานเราได้ทำความดีอะไรบ้างหรือยัง ไม่จำเป็นต้องไปทำดีไกลๆ แต่เริ่มจากการทำความดีกับสิ่งต่างๆคนรอบตัวที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ในการเดินทางตั้งแต่เราตื่นนอนจนเข้านอนทุกวินาที เพื่อให้วันข้างหน้าเรามองกลับมาและจำได้ว่าเมื่อวานเราได้ทำดีอะไรไปแล้ว บ้าง จากการทำอย่างต่อเนื่อง ทำวันนี้ให้ดีที่สุด เริ่มใช้เวลาวันสุดสัปดาห์ ให้เป็นประโยชน์ตามความกำลังและความถนัดของตัวเอง หาข้อมูลงานกิจกรรที่สนใจ วันเวลาสถานที่ๆสะดวกชวนเพื่อนคนที่เรารักไปด้วย

อย่าคิดว่าเป็นเรื่องน่าอายที่จะชวนคนอื่นมาทำความดี งานวิจัยที่อังกฤษ (Volunteering England) ชี้ว่า คนที่ต้องการทำงานอาสาสมัครกว่า 22 ล้านคนนั้นมี 11 ล้านคนที่ต้องช่วยเพียงแค่เอ่ยปากชวน ที่อเมริกานอกเหนือไปจากข่าวเรื่องปัญหาสถาบันการเงิน พบว่ามีการรณรงค์ Service Nation campaign ขึ้นเริ่มเมื่อวันที่ 27 กันยายน 2008 ที่ผ่านมาโดยความเชื่อว่าการอาสาช่วยเหลือสังคม ช่วยสร้างรากฐานที่เข้มแข็งกับประชาธิปไตย และช่วยแก้ปัญหาสังคมที่ท้าทายและวิกฤติต่างๆที่กำลังเกิดขึ้นในอนาคตโดยมี เป้าหมายในปี 2020 ที่คนอเมริกัน 100 ล้านคนจากสละเวลา ในโรงเรียน ในบริษัท มาอาสาช่วยเหลือสังคม จากปัจจุบัน 61 ล้านคน (http://www.bethechangeinc.org/servicenation)  เพียงไม่กี่วันที่ผ่านมามีกว่า 2726 กิจกรรมจาก 50 รัฐ

ในประเทศไทย วันที่ 21 ตุลาคมที่จะถึงนี้ถือเป็นวันสำคัญเพราะเป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพของสมเด็จ พระศรีนครินทราบรมราชชนนีและเป็นวันอาสาสมัครไทย ถือเป็นโอกาสทุกปีเพื่อส่งเสริมกิจการงานอาสาสมัครในรูปแบบต่างๆ ที่ทำความดีอย่างต่อเนื่อง ซึ่งไม่ได้จำกัดแค่วันเดียว ท่านดร.สุเมธ ตันติเวชกุล ประธานมูลนิธิประเทศไทยใสสะอาดในฐานะประธานโครงการ “ทำดีเพื่อพ่อ ขอให้คนไทยรักกัน” กล่าวตอนหนึ่งว่า “หลังจากเหตุการณ์สงบ ในปี 2524 ผม ได้มีโอกาสปฏิบัติงานถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อยู่มาวันหนึ่ง พระองค์รับสั่งถามขึ้นมาว่า รู้ไหม ทำไมบ้านเมืองเราจึงสงบลงได้ ทั้งที่ต่างชาติต่างมองว่าสถานการณ์ในภูมิภาคอินโดจีนจะบานปลายเป็นโดมิโน ส่งผลมาถึงประเทศไทย”

พระราชดำรัสตอบของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นข้อความที่ปรากฏมาตั้งแต่ช่วงปี 2525-2526 และยังคงได้ยินกันมาจนกระทั่งทุกวันนี้ นั่นคือ “บ้านเมืองรอดมาได้ เพราะคนไทยเรายังให้กันอยู่…”

แล้วในวันสุดสัปดาห์นี้เราจะไปที่ไหนดีละ