โดย เอ็ม จอย
ต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา ผมนั่งรถเกือบสามชั่วโมงจากกรุงย่างกุ้งไปถึงมณฑลพะโค เพื่อจะไปดูถนนเส้นใหม่ที่ตัดจากเมืองหลวงเก่าของพม่าไปเนปิดอว์เมืองหลวงใหม่ มีคนบอกผมว่า ถนนใหม่ใหญ่โตหรูหรามาก และผมก็อยากเห็นกับตา
ที่นั่นอากาศร้อนจัดจนผมตาพร่า ผมยังมองไม่เห็นถนนเส้นใหญ่ที่ว่า มีเส้นทางคอนกรีตสองเลนใหม่ ๆเลนดินที่มีรถขุดตักกำลังทำงาน และทุ่งเวิ้งว้างด้านข้าง หันมองเห็นกระท่อมไม้ไผ่เล็ก ๆ ที่เพิ่งสร้างใหม่หลังหนึ่งอยู่ไม่ไกล ผมจึงเดินไปที่นั่น หวังจะขอน้ำกินและนั่งอยู่ใต้ร่มสักพัก
เจ้าของบ้านเป็นลุงชาวพม่า ผมเป็นคนกะเหรี่ยง แต่เขาก็ต้อนรับผมอย่างดี เราทักทายพูดคุยกันไปเรื่อยเปื่อย ตามองฝ่าแดดไปยังพื้นที่ที่ลุงบอกว่านั่นคือถนน ผมไม่เคยเห็นถนนใหญ่ขนาดนี้มาก่อน มองดูเหมือนว่าที่โล่งนั้นคงจะตั้งบ้านเรียงกันได้ถึงเจ็ดแปดหลัง หันกลับมามองในบ้านของลุง เรือนไม้ไผ่เล็กแคบจนอึดอัดนี้ดูไม่เหมาะกับข้าวของเครื่องใช้ครบครันที่วางสุมกันอยู่เลย ผมชะโงกมองกองไม้สักเก่าที่วางอยู่ข้าง ๆ กระท่อมแล้วก็อดถามไม่ได้
“ลุง… ทำไมลุงถึงมาอยู่กระท่อมริมถนนริมหนองน้ำแบบนี้ล่ะ”
คำถามนั้นทำให้ลุงเริ่มเล่าเรื่องราวของตัวเองด้วยสีหน้าจริงจัง
“เมื่อก่อนลุงอยู่บ้านไม้สัก ไม้กองนี้เองแหละ เรามีที่นาสิบเอเคอร์ ครอบครัวเราเจ็ดคนทำมาหากินอยู่สบาย ข้าวมีพอกินทุกปี แต่พอรัฐบาลจะสร้างถนนสายนี้ พวกเราก็ต้องรื้อบ้านเดิมทิ้งให้เขา จะรอสร้างใหม่ก็ไม่มีที่อยู่ ต้องปลูกกระท่อมอยู่กันไปก่อน”
ผมมองออกไปรอบ ๆ เห็นกระท่อมหลังเล็ก ๆ เรียงรายไม่ต่างกับค่ายผู้ลี้ภัยในประเทศไทย ร่องรอยของทุ่งนาเก่ายังมีให้เห็น นี่เองคือที่นาของลุง หมู่บ้านนี้เป็นหมู่บ้านชาวนา ลุงบอกว่ามีคนร่วมร้อยหลังคาเรือน
“เขาว่าถนนเส้นนี้จะใหญ่สำหรับให้รถยนต์วิ่งเรียงกันได้เจ็ดแปดคัน เขากันพื้นที่ 24 ศอก (12 เมตร) จากขอบถนนไว้เผื่อขยายถนนด้วย พวกเราเสียที่กันไปเยอะ ที่นาสิบเอเคอร์ของลุงหายไปสักครึ่ง เราเคยปลูกข้าวได้ 1600 ถัง ตอนนี้ก็เหลือแค่ครึ่ง”
“…ชีวิตเรานี่น่าเหนื่อยจริง ๆ นะ…” ลุง ถอนใจเฮือก “ชาวบ้านคนอื่นก็เจอแบบเดียวกัน ทุกข์มากกว่าลุงก็ยังมี บางคนเสียที่นาทั้งหมด บางคนถูกขุดดินจากนาไปถมถนน ต้นข้าวต้นอะไรเสียไปหมด”
ผมถามว่า … แล้วนี่จะทำยังไงกัน…
ลุงบอกว่าลุงเองก็ยังไม่ได้คิดว่าจะทำยังไง ยังไม่มีแผนจะย้ายไปไหนหรือไปหางานทำที่ไหน แต่ชาวบ้านที่สูญเสียทุกอย่างหลายคนก็ยอมไปเป็นลูกจ้างขุดถนนเส้นที่กลืนกินที่ดินของพวกเขา และบางส่วนก็เตรียมตัวจะออกไปหางานรับจ้างที่อื่น
ผมมองถนนด้านที่เสร็จแล้วสองเลนนั้น นาน ๆ จะรถวิ่งผ่านไป สักคัน แต่ไม่มีรถของชาวบ้าน เพราะคนที่มีสิทธิ์ใช้ถนนเส้นสำคัญนี้มีเพียงเจ้าหน้าที่รัฐและคนที่ร่วมงานกับพวกเขา ลุงบอกว่าตอนแรกชาวบ้านก็ไม่รู้ จนเมื่อเดือนก่อนเจ้าหน้าที่ก็ปฏิบัติการยึดรถมอเตอร์ไซค์ ชาวบ้านที่ขึ้นไปวิ่งบนถนนไว้จนเต็มสิบล้อสองคัน มอเตอร์ไซค์เหล่านั้นเป็นของหมู่บ้านนี้หลายคัน
“ อา… ลุงโกรธแทบตายสิ แต่ไม่รู้จะทำยังไง เจ้าหน้าที่บอกก่อนจะขับสิบล้อออกไปว่า ถ้าอยากได้ก็ไปตามเอาคืนที่เนปิดอว์”
ฝนตกโปรยปรายลงมา อากาศที่ร้อนระอุเริ่มเย็นฉ่ำ แต่ชาวบ้านจำนวนหนึ่งก็ตากฝนจนหนาวเหน็บเพราะต้องเร่งมือสร้างกระท่อมพักหลังใหม่ไว้หลบฝนคราวต่อไป ผมมองไปยังเส้นทางยาวสุดลูกหูลูกตา เนปิดอว์อยู่อีกไกล ไม่รู้ว่าอีกกี่หมู่บ้านจะเผชิญชะตากรรมอย่างไรเพราะถนนสายนี้….
——————–