โลกในมุมมองของ Value Investor โดย ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ครั้งหนึ่งในที่ประชุมผู้ถือหุ้นของเบิร์กไชร์ แฮททาเวย์ มีคนถามว่าวันๆ หนึ่ง วอร์เรน บัฟเฟตต์ ทำอะไรบ้าง บัฟเฟตต์ตอบว่า ส่วนใหญ่เขาอ่านหนังสือและพูดโทรศัพท์ เสร็จแล้วบัฟเฟตต์ก็หันไปถาม ชาร์ลี มังเกอร์ เพื่อนซี้และรองประธานของเบิร์กไชร์ ว่า เขาทำอะไรในแต่ละวัน มังเกอร์ตอบว่า
“คำถามนี้ทำให้ผมนึกถึงเพื่อนคนหนึ่งในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ที่ประจำการอยู่ในหน่วยของทหารที่ไม่มีอะไรทำ” มังเกอร์เล่าต่อว่า “นายพลคนหนึ่งได้เข้ามาพบกับกัปตันกลอทซ์ ซึ่งเป็นเจ้านายของเพื่อนผมและก็ถามว่า ‘กัปตันกลอทซ์ คุณทำอะไรบ้าง’ เจ้านายของเพื่อนผมตอบว่า ‘ไม่มีอะไรสักอย่างเลยครับ’ ท่านนายพลโกรธมากและหันมาถามเพื่อนผมว่า ‘แล้วแกล่ะทำอะไร’ เพื่อนผมตอบว่า ‘ผมก็ช่วยงานกัปตันกลอทซ์’ และนั่นก็คือ คำอธิบายสิ่งที่ผมทำอยู่ที่เบิร์กไชร์ได้ดีที่สุด”
ดูเหมือนว่า วอร์เรน บัฟเฟตต์ ในฐานะของการเป็นนักลงทุนแบบ VI นั้น ไม่ค่อยมีงานอะไรทำ เช่นเดียวกัน ชาร์ลี มังเกอร์ ซึ่งก็เป็นนักลงทุนระดับเซียน ที่ช่วยบัฟเฟตต์ลงทุนก็ไม่ค่อยมีอะไรทำเหมือนกัน ลองมาดูว่าวันๆ หนึ่งบัฟเฟตต์ทำอะไรบ้าง
ปกติบัฟเฟตต์ตื่นประมาณ 06.45 น. แล้วก็อ่านหนังสือพิมพ์หลายฉบับ บางครั้งก็เข้าไปอ่านในอินเทอร์เน็ตบ้างเพื่อดูว่ามีอะไรเกิดขึ้น เขาไปถึงที่ทำงานประมาณ 09.00 น. หรือบางทีก็ 08.00 น. ขึ้นอยู่กับว่าจะมีอะไรต้องทำ เขาไม่มีตารางเวลาตายตัว บัฟเฟตต์บอกว่าเขาไม่ต้องการให้ชีวิตตนเองถูกบังคับให้ทำอะไรโดยไม่มีทาง เลือก
ในที่ทำงาน เวลาประมาณ 75-80% ของเขาหมดไปกับการอ่าน วันๆ หนึ่งเขาอ่านหนังสือพิมพ์ 5 ฉบับ รายงานประจำปีของบริษัทจดทะเบียน รายงานรายไตรมาส แมกกาซีน และอื่นๆ สารพัด เวลาที่เหลือนั้นเขาใช้ไปกับการพูดคุยโทรศัพท์ สั่งซื้อขายหุ้นหรือเงินตราต่างประเทศ แต่พวกนี้ไม่ได้ใช้เวลามาก
หลังจากนั้น เขาก็กลับบ้านซึ่งก็อาจจะประมาณห้าโมงครึ่งหรือหกโมงเย็นไม่ค่อยแน่นอน ในตอนค่ำเขาก็มักจะอ่านหนังสือต่อ หรือไม่บางวันก็เล่นบริดจ์ทางอินเทอร์เน็ต ซึ่งคู่เล่นรวมถึงบิลเกตส์ และน้องสาวของเขาที่อยู่ต่างเมือง และนี่คือ ความบันเทิงหลักของบัฟเฟตต์
โฮวาร์ด ลูกของบัฟเฟตต์เล่าว่า บัฟเฟตต์นั้น แม้แต่เครื่องตัดหญ้าก็ใช้ไม่เป็น นอกจากนั้น เขาไม่เคยเห็นบัฟเฟตต์ล้างรถ หรือทำงานบ้านอะไรเลย ในตอนเด็กเขารู้สึกแย่แต่เมื่อโตขึ้น และรู้จักคุณค่าของเวลาแล้ว เขาถึงได้ตระหนักว่าทำไมบัฟเฟตต์จึงทำอย่างนั้น นั่นก็คือ เวลาสำหรับบัฟเฟตต์นั้นมีค่ามาก เขาไม่ยอมเสียเวลากับสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์
บัฟเฟตต์บอกว่า การที่เป็นคนดังนั้นไม่ใช่เรื่องดี เพราะมันทำให้เขาได้รับจดหมายและคำถามมากมายเกี่ยวกับการลงทุน แต่ออฟฟิศของเขาซึ่งมีขนาดเล็กมากนั้นไม่สามารถจัดการกับเรื่องเหล่านี้ได้ ดังนั้น เขาจึงไม่ตอบหรือไม่จัดการกับจดหมายเหล่านั้น เพราะถ้าทำเขาก็คงไม่มีเวลาที่จะทำงานได้เลย
แม้ว่าบัฟเฟตต์จะเป็น CEO ของบริษัทใหญ่ระดับโลกอย่างเบิร์กไชร์ แต่เขามีชีวิตการทำงานแตกต่างกับ CEO คนอื่นมาก ครั้งหนึ่ง บิล เกรแฮม ลูกชายของ เค เกรแฮม เจ้าของบริษัทวอชิงตันโพสต์ ซึ่งบัฟเฟตต์เข้าไปถือหุ้นและเป็นเพื่อนสนิท ต้องการแวะมาเยี่ยม บัฟเฟตต์ตอบว่า “มาได้เลยทุกเวลา ผมไม่มีตารางนัด”
ห้องทำงานของบัฟเฟตต์นั้นเงียบมาก ในห้องไม่มีคอมพิวเตอร์ ไม่มีจอดูหุ้น ไม่มีแม้แต่เครื่องคิดเลข บัฟเฟตต์เคยบอกว่า “ผมก็คือคอมพิวเตอร์” ในช่วงหนึ่ง บิล สก็อต ซึ่งเป็นเทรดเดอร์ซื้อขายหุ้นของเบิร์กไชร์โผล่หน้ามาแล้วก็ถามว่า “สิบล้านดอลลาร์ที่ 125.125 เอาไหม?”
โทรศัพท์ในห้องไม่ค่อยดังบ่อยนัก บัฟเฟตต์มีเวลาเหลือมากมาย เมื่อเทียบกับ CEO ของบริษัทอื่นๆ ตารางเวลาในวันหนึ่งๆ ของเขานั้น ไม่มีกำหนดการที่เป็นแบบแผน และมีเวลาว่างมากมายสำหรับการดื่มโค้ก เขามักจะนั่งอ่านหนังสือเป็นชั่วโมงๆ และติดต่อกับโลกภายนอกด้วยโทรศัพท์ซึ่งเขารับสายเอง นอกจากนั้น เขายังมีโทรศัพท์สายตรงอีกสามสายกับบริษัทหลักทรัพย์ในการซื้อขายหุ้น
ชีวิตประจำวันของบัฟเฟตต์นั้นเรียบง่ายมาก จนไม่น่าเชื่อเมื่อเทียบกับตำแหน่งหน้าที่ในฐานะที่เป็น CEO ของบริษัทใหญ่และมีชื่อเสียงมากอย่างเบิร์กไชร์ และในฐานะที่เป็นคนรวยและดังระดับต้นๆ ของโลกธุรกิจ บัฟเฟตต์นั้นไม่สนใจออกงานที่จะได้หน้าตาหรืออยู่ในแวดวงคนชั้นสูง
ครั้งหนึ่งถ้าจำไม่ผิด ทำเนียบขาวเคยเชิญบัฟเฟตต์ให้ไปรับประทานอาหารค่ำกับประธานาธิบดีคลินตัน แต่บัฟเฟตต์ปฏิเสธ เขาคงดูว่าไม่รู้จะเสียเวลาบินไปทำไม เขาไม่มีอะไรจะคุยในเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับเขา ตรงกันข้าม บัฟเฟตต์ให้เวลาไปพูดกับนักศึกษาตามมหาวิทยาลัยต่างๆ ทั่วประเทศค่อนข้างมาก เช่นเดียวกับการต้อนรับนักศึกษา ที่สนใจในเรื่องการลงทุน เขาดูว่านี่เป็นสิ่งที่มีประโยชน์ และการพูดคุยกับคนอายุ 20-25 ปี นั้น “มันอาจช่วยเปลี่ยนชีวิตของพวกเขาบางคนได้”
มองอย่างผิวเผิน บัฟเฟตต์อาจจะไม่ค่อยได้ทำงานอะไรหนักหนา แต่ความเป็นจริง คือ งานการลงทุนนั้น แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับการบริหารธุรกิจ การลงทุนนั้นเป็นเรื่องของความคิดล้วนๆ คุณภาพของการตัดสินใจเป็นเรื่องที่สำคัญมากที่สุด บางที ปีหนึ่งตัดสินใจครั้งเดียวคุณก็ประสบความสำเร็จมหาศาลได้แล้ว
ในขณะที่การบริหารธุรกิจนั้น คุณต้องตัดสินใจอาจจะเป็นสิบๆ ครั้งต่อวัน แต่ผลการตัดสินใจส่วนใหญ่นั้นอาจจะไม่มีผลอะไรต่อความสำเร็จมากนัก ดังนั้น คุณมักจะต้องวุ่นวายทั้งวันไม่ว่าคุณจะประสบความสำเร็จหรือไม่ แต่การลงทุนนั้นไม่ได้หมายความว่า คุณไม่ต้องทำงาน เพียงแต่งานนั้น ก็คือ การเพิ่มคุณภาพของการตัดสินใจขึ้นไปเรื่อย และวิธีการเพิ่มคุณภาพ ก็คือ การอ่าน อ่าน และอ่าน หนังสือและข้อมูลสารพัดอย่างที่ บัฟเฟตต์และมังเกอร์ทำ
ที่มา: http://www.nidambe11.net/ekonomiz/2010q2/2010May04p4.htm