สามัคคี

 

นัน ภู่โพธิ์เกตุ

 

กลางแดดยามสายของฤดูหนาว ชายหนุ่มรูปร่างสันทัดในชุดกีฬาสีเหลืองพาบอลเลื้อยหลบผู้เล่นฝ่ายตรงข้ามด้วยความมั่นใจ เขาพาบอลมาถึงพื้นที่ของฝ่ายตรงข้าม ข้างหน้ามีนักเตะของอีกฝ่ายพร้อมสะกัดไม่ให้พาบอลเข้าไปถึงกรอบเขตโทษ เขาลังเลใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะ…

ฉันยืนอยู่กลางงานแข่งขันฟุตบอลของเพื่อน ๆ ชาวไทใหญ่ เสียงพากย์ฟุตบอลของโฆษกหญิงดังแข่งกับเสียงไชโยโห่ร้องของกองเชียร์ เสียงตะโกนขายเนื้อแกะอบแห้งจากประเทศพม่าแข่งกับเสียงเด็กน้อยที่ร้องจะกินไอศกรีม ท่ามกลางความสับสนวุ่นวายสายฉันเหลือบไปเห็นกลุ่มนักฟุตบอลที่ใส่ชุดกีฬาสีเขียวกำลังยืนล้อมวงพูดคุย สายตาของพวกเขาจ้องมองไปยังทีมฟุตบอลที่กำลังแข่งขันอยู่กลางสนาม พร้อมกับยกมือชี้ไปที่ผู้เล่นคนนั้นทีคนนี้ทีแล้วกลับมาพูดคุยกันอีกครั้ง คล้ายกำลังวางแผนเพื่อรับมือกับผู้ชนะจากเกมนี้

“เดี๋ยวก็แข่งแล้วครับ” พี่ต่อ ชายวัยกลางคนตอบคำถามของฉันด้วยหน้าระบายยิ้ม พร้อมทั้งอธิบายว่าที่เขายืนชี้ไม้ชี้มือไปทางสนามเพื่ออธิบายแผนการเล่นให้ลูกทีมฟังก่อนลงแข่ง พี่ต่อและเพื่อนเป็นหนึ่งในสี่ทีมที่เข้าชิงชัยในรอบสุดท้ายของการแข่งขันฟุตบอล 7 คนที่มูลนิธิเพื่อสิทธิมนุษยชนและการพัฒนา (มสพ.) จัดขึ้น เพื่อสร้างความสามัคคีในกลุ่มแรงงานไทใหญ่และเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษาในปี 2553

 

ถึงแม้งานก่อสร้างในช่วงกลางวันจะสร้างความเหนื่อยล้าให้ทีมนักฟุตบอลสีเขียวแค่ไหน แต่พวกเขาก็ซ้อมฟุตบอลหลังเลิกงานทุกวันจนมาถึงรอบชิงชนะเลิศได้ “ตอนซ้อมฟุตบอลก็เหมือนเวลาพักผ่อนของเรา ได้เจอเพื่อน ๆ ได้คุยกันเล่นกัน” นี่คือความรู้สึกของ มอน นักฟุตบอลอายุยี่สิบต้น ๆ ที่พาร่างสูงโปร่งในชุดเขียวเดินมาสมทบกับเรา มอนเล่าว่าเขาเพิ่งเล่นฟุตบอลได้ไม่นานโดยที่มีพี่ต่อเป็นคนสอนให้ ฉันหันมาถามว่าพี่ต่อหัดเล่นฟุตบอลมาจากไหน ชายหนุ่มระบายยิ้มพร้อมกับบอกว่าไม่เคยมีใครสอนแต่เล่นมานานตั้งแต่สมัยอยู่ที่รัฐฉาน พอมาอยู่เมืองไทยก็อาศัยดูการถ่ายทอดสดฟุตบอลต่างประเทศแล้วลักจำเทคนิคเขามาสอนเพื่อน ๆ น้อง ๆ ที่เล่นฟุตบอลด้วยกัน เลยทำให้เขาเป็นหัวหน้าทีมไปโดยปริยาย

พี่ต่อเล่าให้ฟังว่าบางครั้งก็อยากจะพาทีมไปแข่งในการแข่งขันต่าง ๆ แต่ติดว่าพวกเขาเป็นคนไทใหญ่จึงร่วมการแข่งขันไม่ได้ ดังนั้นการนัดเพื่อน ๆ ที่อยู่ต่างไซต์ก่อสร้างมาแข่งกันยามว่างงานก็ทำให้เขามีความสุขพอแล้ว แต่มอนกลับมองไปไกลกว่านั้น เขาเล่าให้ฉันฟังว่าซักวันถ้ารัฐฉานได้เอกราชเขาจะกลับบ้านเพื่อไปเป็นนักฟุตบอลทีมชาติ

เกมฟาดแข้งของนักฟุตบอลชุดสีเหลืองและน้ำเงินกลางสนามทวีความเข้มข้นขึ้นจนเราต้องหยุดดู ฉันเปรยขึ้นมาว่าฟุตบอลนี่น่าสนุกเหมือนกันนะ “สนุกสิครับ นอกจากสนุกแล้วยังทำให้ร่างกายแข็งแรงและทำให้เราห่างไกลจากยาเสพติด” ถึงฉันจะอดยิ้มกับคำพูดของมอนไม่ได้แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าในสังคมที่ยาเสพติดหาซื้อง่ายเหมือนขนม กีฬาก็ทำหน้าที่เป็นภูมิคุ้มกันให้กับสังคมได้จริง ๆ

“ผมว่าฟุตบอลทำให้เราสามัคคีกัน” พี่ต่อพูดขึ้น สายตายังไม่ละจากการแข่งขัน “พวกเราคนไทใหญ่มาอยู่ในเมืองไทยวัน ๆ ก็ทำแต่งานไม่ได้เจอกัน พอมาเล่นฟุตบอลเราก็ได้รู้จักกันมากขึ้น ได้เจอเพื่อนใหม่ ๆ เวลามีอะไรก็ช่วยเหลือกันได้” พี่ต่อพูดจบ มอนก็เล่าเสริมว่าตัวเขาก็ได้พี่ ๆ ที่มาอยู่ก่อนค่อยแนะนำว่าอะไรควรทำไม่ควรทำเมื่อมาอยู่ประเทศไทย เขามาที่นี่เพื่อทำงานจึงไม่อยากสร้างปัญหาให้ทั้งตัวเองและคนรอบข้าง

“เรา มาอาศัยแผ่นดินนี้ มาทำงานที่นี่ เราก็ไม่อยากสร้างปัญหาให้คนไทย เพราะคนไทยใจดีกับเรา พระเจ้าอยู่หัวก็ใจดีให้เราอยู่ เรารักพระเจ้าอยู่หัวเหมือนเป็นประมุขของเรา ไม่อยากให้พระเจ้าอยู่หัวเหนื่อยเพราะว่าพวกเราสร้างปัญหา” พูดจบพี่ต่อก็บอกว่าถึงเวลาต้องลงแข่งแล้ว ชายหนุ่มทั้งสองวิ่งไปรวมกับสมาชิกในทีมกลางสนาม ฉันตะโกนถามพี่ต่อประโยคสุดท้ายว่าวันนี้มั่นใจแค่ไหน

ใบหน้าระบายยิ้มหันกลับมาตอบเสียงดังว่า “ร้อยเปอร์เซ็นต์ครับ!!!”

ศูนย์ข้อมูลริมขอบแดน มูลนิธิเพื่อนไร้พรมแดน
ตู้ปณ.180 มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ อ.เมือง
จ.เชียงใหม่ 50202
โทรศัพท์ 053-805-298
โทรสาร 053-805-298
E-mail borders@chmai2.loxinfo.co.th
http://www.friends-without-borders.org/