สัมภาษณ์พระไพศาล วิสาโล
รายการสถานีครอบครัว FM 105 MHz
ผู้ดำเนินรายการ เรวัต สังข์ช่วย
วันที่ ๒๓ มีนาคม ๒๕๕๓

—————————————–

ผู้ดำเนิน รายการ พระอาจารย์ครับหลายคนฝากคำถามมา หลังจากที่ทราบว่าค่ำคืนนี้ผมมีโอกาสได้สนทนากับพระอาจารย์ ผมจะเริ่มต้นกับคำถามซึ่งผมอยากถามก่อน

พระ อาจารย์ครับสังคมไทยใน ปัจจุบันนี้ เป็นที่ทราบกันดีว่าเปลี่ยนไปจากอดีตค่อนข้างเยอะ คนก็บอกว่าคนไทยยิ้มยากขึ้น ยิ้มน้อยลง ด้วยอะไรก็สุดแท้แต่ จริงแล้วคนไทยยิ้มยากขึ้น ยิ้มน้อยลงหรือเปล่าครับพระอาจารย์

พระ ไพศาล อาตมาคิดว่ามีส่วนจริง เพราะว่า เดี๋ยวนี้คนไทยเครียดกันมาก อีกทั้งความรู้สึกผูกพันกับคนอื่นก็ลดน้อยถอยลง ไม่ว่าความรู้สึกเป็นครอบครัวหรือความรู้สึกเป็นชุมชน ภูมิต้านทานความทุกข์ก็มีน้อยลงด้วย ถ้าเรามีภูมิต้านทานความทุกข์น้อย พอเจออะไรก็ทุกข์ง่าย เครียดง่าย แค่รถติดหรือแต่ดูข่าวโทรทัศน์ไม่ค่อยถูกใจก็เครียด ที่มีภูมิต้านทานความทุกข์น้อยก็เพราะว่า สบายมากไป และอยากได้นั่นได้นี่มากไปโดยไม่เตรียมใจรับความไม่สมหวัง ก็เลยทุกข์ง่าย

อีก สาเหตุหนึ่งก็คือไม่ค่อย ปล่อยวาง เกิดเรื่องอะไรขึ้นมาก็ยิ้มได้ยากขึ้น ผิดกับคนสมัยก่อน มีเรื่องเสียหน้า เรื่องผิดหวังก็ยังยิ้มได้ ที่เรายิ้มยากขึ้นก็เพราะเราปล่อยวางได้น้อยลงด้วย

ผู้ดำเนินรายการ ชีวิตคนเรา สุขหรือทุกข์ขึ้นอยู่กับอะไรบ้างครับ

พระ ไพศาล หัวใจสำคัญคืออยู่ที่ตัวเราเอง พูดโดยรวมแล้วคนเราจะสุขหรือทุกข์ขึ้นอยู่กับสองปัจจัยคือปัจจัยภายนอกและ ปัจจัยภายใน ปัจจัยภายนอกเกี่ยวกับผู้คน สิ่งของ สถานการณ์แวดล้อมรวมทั้งภูมิอากาศเป็นต้น แต่ก็ไม่สำคัญเท่ากับปัจจัยภายใน แม้ทั้งหมดนี้ที่พูดมาจะไม่เป็นดั่งใจ แต่ถ้าเราวางใจถูก วางใจเป็น อากาศร้อนเราก็ยิ้มได้ คนไม่ชื่นชมเรา เราก็ยิ้มได้ บ้านหลังเล็กเราก็ยิ้มได้ มีความสุขได้ หรือแม้กระทั่งเวลาเจ็บเวลาป่วยก็ยังมีสุขได้เพราะความสุขอยู่ที่ใจ อาตมาเจอคนมามากแม้เขาพิการ เจ็บป่วย เขาก็ยังบอกว่า โชคดีที่พิการ โชคดีที่เป็นมะเร็งเพราะว่าทำให้เขาค้นพบสิ่งที่มีค่า เช่นพบธรรมะ หรือพบว่าความสุขที่แท้อยู่ที่ใจ ตรงกันข้ามถ้าวางใจไม่ถูก แม้ถูกหวยถูกล็อตเตอรี่ หรือขายหุ้นได้ ๑๐ ล้านก็ยังทุกข์

มี คนหนึ่งขายหุ้นได้กำไร ๑๐ ล้านก็ยังทุกข์ ที่ทุกข์เพราะว่า ถ้าขายหุ้นวันนี้ก็จะได้กำไร ๒๐ ล้าน แต่เผอิญไปขายเมื่อสองวันก่อนได้กำไรแค่ ๑๐ ล้าน หลังจากนั้นไม่กี่วันเขาก็ไม่มาที่ตลาดหุ้นเหมือนอย่างทุกวัน มีคนไปสอบถามโบรคเกอร์ว่าเขาหายไปไหน ก็ได้คำตอบว่าเขาป่วย เครียดมากจนต้องเข้าโรงพยาบาล เครียดที่ได้กำไร ๑๐ ล้าน ๑๐ ล้านบาทนี่มากยิ่งกว่าถูกล็อตเตอรี่รางวัลที่หนึ่ง แต่เขาก็ยังทุกข์เพราะว่าวางใจไม่เป็น

แต่ ถ้ารักษาใจเป็น แม้ถูกโกงก็ยังรักษาใจให้เป็นปกติได้ มีอยู่คนหนึ่งถูกโกงไป ๖๐ ล้าน ทุกข์อยู่สองสามวัน หลังจากนั้นก็ยิ้มได้ เพื่อนสงสัยว่าว่าทำไมถึงยิ้มได้ เขาตอบว่า ก็ยังมีอาหารอร่อยๆ กิน ยังมีบ้านที่หลับนอนได้สบาย แล้วจะทุกข์ทำไม คือถึงแม้เขาถูกโกงไป ๖๐ ล้าน แต่ในเมื่อยังกินอิ่มนอนอุ่น ทรัพย์สินที่ยังมีอยู่ก็มากพอที่จะทำให้มีความสุขได้ ก็เลยไม่รู้จะไปทุกข์กับเงินที่ถูกโกงไปทำไม

ผู้ดำเนินรายการ พระอาจารย์กำลังจะบอกว่าถึงที่สุดแล้ว จะสุขหรือจะทุกข์ก็อยู่ที่เราเลือก ไม่ใช่ว่ามีใครมาทำอะไรให้เรา

พระ ไพศาล ใช่ ใครทำอะไรให้เราก็ไม่เท่ากับว่าเราทำอะไรกับใจเราเอง พระพุทธเจ้าตรัสว่าไม่มีอะไรจะทำร้ายเรามากเท่ากับใจที่วางไว้ไม่ถูก ศัตรูทำร้ายกันก็ยังไม่ร้ายแรงหรือหนักหนาเท่ากับใจที่ฝึกไว้หรือวางไว้ไม่ ถูก ใจนี่สำคัญมาก

ผู้ดำเนินรายการ ผมกำลังนึกถึงสภาพอากาศในช่วงนี้เพราะว่าเดี๋ยวนี้มองไปทางไหน เดินไปทางไหนก็บ่นว่าร้อนมากๆ คือผมพยายามมองเปรียบเทียบทางธรรมะอย่างที่พระอาจารย์สอนเมื่อสักครู่ แสดงว่าเราคงสั่งให้อากาศเย็นตลอดเวลาคงทำไม่ได้ แต่เราสามารถที่จะเลือกได้ว่าความร้อน กลิ่นไอความร้อนจะเข้ามามีอิทธิพลกับใจเราได้หรือไม่ได้ เราเป็นคนปิดเปิดประตูนั้นเองใช่ไหมครับ

พระ ไพศาล ใช่ เราลองนึกภาพคนที่ได้คุยกับแฟน แม้อากาศร้อนอย่างไรก็ไม่รู้สึกร้อน หรือว่าคนที่วางใจเป็น มีสติเห็นกายที่ร้อน เห็นทุกขเวทนาที่เกิดขึ้น อากาศร้อนก็ไม่ทำให้ทุกข์ เพียงแค่เห็นทุกขเวทนาก็วางลงได้ นี่เป็นธรรมชาติของใจ คือ กายทุกข์แต่ใจไม่ทุกข์ก็ได้ กายร้อนแต่ใจไม่ร้อนก็ได้ มีบุรุษไปรษณีย์คนหนึ่ง อากาศร้อนยังร้องเพลงได้ ในขณะที่เจ้าของบ้านที่บุรุษไปรษณีย์เอาจดหมายมาส่ง เขาอยู่ในห้องแอร์ไม่อยากออกมารับจดหมาย เพราะกลัวว่าออกมาแล้วจะเจออากาศร้อน แต่บุรุษไปรษณีย์ก็ยังร้องเพลงอยู่หน้าบ้าน รอจนเจ้าของบ้านออกมารับ รับเสร็จก็ถามบุรุษไปรษณีย์ว่าทำไมยังร้องเพลงอยู่ได้ ทั้งที่อากาศร้อนเหลือเกิน เขาก็บอกว่า “ ถ้าโลกร้อน แต่ใจเราเย็น มันก็เย็นครับ ร้องเพลงเป็นความสุขของผมอย่างหนึ่ง ” พูดจบเขาก็ขับรถไปส่งจดหมายที่บ้านอื่นต่อ

ผู้ดำเนินรายการ เจ้าของบ้านว่าอย่างไรบ้างครับพระอาจารย์

พระ ไพศาล เจ้าของบ้านก็ได้คิดเลยว่า ใช่นะ โลกร้อนแต่ใจเย็นได้ ก็เลยเอาเรื่องนี้มาเล่าให้ฟัง เขาได้คิดเลยว่า เราอยู่ในห้องแอร์แต่ทำไมยังหงุดหงิด ส่วนบุรุษไปรษณีย์ต้องเจออากาศร้อนทั้งวันแต่ใจไม่ร้อน เพราะว่าเขารู้จักทำใจโดยการร้องเพลง ร้องเพลงแล้วใจก็เย็นมีความสุข คนเรามีวิธีการหลายอย่าง ถึงไม่ร้องเพลงใจก็ยังสุขได้ อย่างที่อาตมาบอก มีสติเห็นกายที่ทุกข์ ก็จะกลายเป็นว่ากายทุกข์แต่ใจไม่ทุกข์ กายร้อนแต่ใจไม่ร้อน อันนี้เราทำได้

ผู้ดำเนินรายการ คือจัดการพระอาทิตย์ไม่ได้ก็จริงแต่จัดการตัวเองได้

พระ ไพศาล คือสุขทุกข์ก็อยู่ที่เราเลือก เราเลือกได้ว่าจะสุขหรือว่าทุกข์ อันนี้ไม่มีใครทำให้เราได้ แต่เราทำเอง

ผู้ดำเนินรายการ แล้วความคิดแบบนี้ การปรับความคิดปรับหัวใจแบบนี้เกิดขึ้นได้กับทุกคนไม่ใช่เฉพาะบุรุษไปรษณีย์

พระ ไพศาล ทุกคนมีความสามารถที่จะทำใจให้มีสุขได้ คือเรามักจะพูดว่าเมื่อไรเศรษฐกิจประเทศจะดีขึ้น เมื่อไรสถานการณ์บ้านเมืองจะดีขึ้น แต่เราไม่เคยถามตัวเราเองว่าเมื่อไรเราจะเลิกหงุดหงิด กังวลใจ ทำไมต้องเอาความสุขของเราไปผูกกับเศรษฐกิจหรือสถานการณ์บ้านเมือง ทำไมต้องเอาความสุขของเราไปผูกไว้กับเจ้านายหรือคนรอบข้างด้วย เพราะว่าไม่มีใครทำให้เราสุขได้นอกจากตัวเราเอง คนอื่นก็มีส่วนแต่ไม่มากเท่าเรา แทนที่เราจะมัวเรียกร้องให้บ้านเมืองสงบ สิ่งแวดล้อมดีหรือเศรษฐกิจฟูเฟื่องกว่านี้ เราควรถามตัวเองว่าทำไมเราต้องไปทุกข์ร้อนกับเหตุการณ์เหล่านี้ด้วย ทำไมไม่คิดฝึกใจให้เป็นอิสระจากสิ่งเหล่านี้ สามารถมีความสุขได้ด้วยตัวเอง

ผู้ดำเนินรายการ ท่ามกลางความขัดแย้งเราก็มีความสุขจากภายในได้

พระ ไพศาล ใช่ ถ้าเรารู้จักวางใจหรือรู้จักปล่อยวาง หรือมองว่ามันเป็นธรรมดา มันเป็นเช่นนั้นเอง พุทธศาสนาเรียกว่า “ตถตา” คือ เป็นเช่นนั้นเอง พอเห็นสถานการณ์เป็นอย่างนี้ ถ้าเราไม่มีความเข้าใจเราก็จะหงุดหงิดกับสถานการณ์บ้านเมือง แต่ถ้าเรามีปัญญา ก็จะเห็นว่ามันเป็นเช่นนั้นเอง คือคนมีความขัดแย้งกันเป็นเรื่องธรรมดา เป็นธรรมดาโลก เป็นธรรมดาบ้านเมือง เราก็จะวางได้มากขึ้น ทุกข์น้อยลง

ผู้ดำเนินรายการ เราได้ยินคำว่าสันติวิธีมาบ่อยครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสองสามเดือนที่ผ่านมา กราบนมัสการด้วยความเคารพว่าสันติวิธีจริงๆ แล้วคืออะไร สันติวิธีใช่ธรรมะประการหนึ่งหรือไม่

พระ ไพศาล สันติวิธี แปลว่า การแก้ปัญหาโดยไม่ใช้ความรุนแรง ไม่มีการทำลายทรัพย์สินหรือทำลายชีวิต สันติวิธีไม่ได้แปลว่านิ่งเฉยหรือยอมจำนนให้ใครทำอะไรก็ได้ และสันติวิธีก็ไม่ได้แปลว่าเจรจาอย่างเดียวด้วย สันติวิธียังหมายถึงการทำดีกับผู้อื่นและอาจจะรวมถึงการกดดันโดยไม่ใช้ความ รุนแรง เช่นการชุมนุมประท้วงในความเห็นของอาตมาก็เป็นสันติวิธี คือเป็นการกดดัน ตราบใดที่ยังไม่ไปทำลายข้าวของ ไม่ไปทำร้ายร่างกายใครก็เป็นสันติวิธี

สันติ วิธีจะทำได้ดีต้องมีธรรมะ คือ หนึ่งไม่มีความโกรธเกลียดหรือถึงมีก็รู้เท่าทัน คนเราจะไม่ให้โกรธเกลียดใครคงยาก แต่ควรมีสติเท่าทันไม่ให้มันครอบงำ ขณะเดียวกันก็มีความอดกลั้นต่อสิ่งยั่วยุ ต่อคำพูดของคน ถ้าเราไม่อดกลั้นเราก็จะลุแก่โทสะ ทำลายข้าวของและทำร้ายผู้คน ในขณะเดียวกันเราก็ต้องมีปัญญา คือเห็นโทษของความรุนแรง เห็นว่าความรุนแรงก่อให้เกิดวงจรแห่งการจองเวรไม่รู้จบ รวมทั้งมองเห็นว่าคนเราแตกต่างกันได้ แต่ถึงจะแตกต่างอย่างไร เราก็มีอะไรเหมือนกันตั้งหลายอย่าง เรื่องนี้เราเห็นไม่ตรงกันแต่มีหลายเรื่องที่เราเห็นตรงกันและวันพรุ่งนี้ก็ อาจเห็นตรงกันอีกหลายเรื่อง เพราะฉะนั้นเราก็จะไม่เห็นเขาเป็นศัตรู ที่จะต้องโค่นจะต้องทำลาย

ถ้า เรามีปัญญาเราก็จะพบว่าไม่มี ใครที่จะเป็นศัตรูถาวร ขนาดอเมริกากับเวียดนามทำสงครามกันยาวนาน ๓๐ ปี ถึงตอนนี้ก็จับมือทำการค้ากัน รัฐบาลไทยกับพรรคคอมมิวนิสต์ก็สู้กันมาเกือบ ๒๐ ปี แต่ตอนนี้ผู้นำทั้งสองฝ่ายก็จับมือกัน อยู่พรรคเดียวกัน เป็นเพื่อนกันก็มี ไปตีกอล์ฟด้วยกันก็มี คนที่เป็นศัตรูก็ใช่ว่าจะต้องฆ่ากันให้ตายหรือทำร้ายจนจมดิน ไม่แน่ว่าลูกเขากับลูกเราอาจจะเป็นคู่ครองกันก็ได้ในอนาคต มันไม่มีอะไรแน่นอนแล้วจะไปทำร้ายฆ่าฟันกันให้ตายไปทำไม เราจะมีสันติวิธีได้ก็ต้องเห็นอย่างนี้ คือต้องมีปัญญา มีเมตตา กรุณา เห็นว่าเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ เป็นเพื่อนร่วมโลก รักสุขเกลียดทุกข์เหมือนกัน ถ้ามีธรรมะอย่างนี้ก็จะทำให้สันติวิธีมั่นคง ไม่เช่นนั้นก็คลอนแคลนได้

ผู้ดำเนินรายการ ในระดับครอบครัวสันติวิธีจะถูกนำมาใช้อย่างไรได้ จะนำมาปลูกให้งอกงามในระดับครอบครัวได้อย่างไรบ้างครับ

พระ ไพศาล สำคัญมากในระดับครอบครัว อาตมาคิดว่าอยากแรกที่ควรมีคือการฟัง ฟังกันให้มาก เดี๋ยวนี้เราไม่ค่อยฟังกัน หรือถึงฟังกัน เราก็ฟังด้วยหูเท่านั้น แต่ไม่ได้ฟังด้วยใจ คือใจคิดโต้เถียงตลอดเวลา แต่ถ้าเราฟังอย่างมีสติ ฟังอย่างลึกซึ้ง เราก็จะเข้าใจคนอื่นได้มาก ฟังแล้วก็ต้องมีความอดกลั้นด้วย คืออดกลั้นต่ออารมณ์ อดกลั้นต่อความคิดต่าง คือมีขันติ

นอก จากนั้นก็ยังต้องรู้จักทำใจ หรือฝึกใจ ฆราวาสธรรม หรือธรรมสำหรับฆราวาส นอกจากขันติหรือความอดกลั้นแล้ว ยังมีอีกข้อหนึ่งที่สำคัญ คือทมะ หมายถึงคือความข่มใจ หรือการฝึกใจ เป็นสิ่งที่จะทำให้จิตใจเรามั่นคงและไม่โกรธเกรี้ยวง่าย แม้จะเจอคนที่คิดต่างกับเรา อาตมาเห็นเยอะมาก ตอนนี้ความอดกลั้นในครอบครัวมีน้อย โดยเฉพาะเมื่อมีความขัดแย้งกันระหว่างสีต่างๆ เช่น พ่อสีแดง แม่สีเหลือง ลูกสีขาว นี่เป็นเรื่องธรรมดา ถ้าเราฟังให้มาก และมีความอดกลั้น รวมทั้งรู้จักฝึกใจ
เช่นให้อภัย จะทำให้ความขัดแย้งไม่ลุกลามเป็นความแตกแยกกัน

อีก สิ่งหนึ่งที่สำคัญและช่วยให้ เรามีสันติได้คือการมีเมตตาต่อกัน การเอื้อเฟื้อกัน เพื่อนอาตมาคนหนึ่งเป็นผู้หญิง เธอมีปัญหากับสามี วันหนึ่งไปปรึกษาพระ ท่านก็บอกว่า โยมเวลาสามีกลับมาบ้าน ก็ให้หาน้ำดื่ม หาของว่างมาต้อนรับ พูดจาเพราะๆ เธอแย้งว่าทำแล้วจะได้อะไร เพราะแค่เขาเจอหน้าเธอเขาก็ด่าก็ค่อนแคะตลอดเวลา ทำไปจะได้ประโยชน์อะไร พระก็บอกว่า ให้ทำเหมือนเวลาโยมมาถวายของพระ เวลาโยมมาถวายของพระก็ไม่ได้หวังอะไรตอบแทนใช่ไหม เวลาทำกับสามีก็ทำอย่างนั้นแหละ พูดจาเพราะๆ หาน้ำมาให้ เธอก็เชื่อแล้วลองทำดู ปรากฏว่าภายในเวลาสองอาทิตย์สามีก็ดีขึ้น เลิกค่อนแคะ พูดจาสุภาพมากขึ้น เธอจึงไปบอกพระว่ารู้อย่างนี้ทำมานานแล้ว คือเธอไม่เคยคิดว่าถ้าเราทำดีกับเขาแล้วเขาจะดีกับเราได้อย่างไร เพราะเขาด่าเขาว่าอยู่ตลอดเวลา

อัน นี้อาตมาคิดว่าเป็นเรื่องของ เมตตา ซึ่งแสดงออกด้วย ความเอื้อเฟื้อและการให้ทาน ความเอื้อเฟื้อมีน้ำใจ เป็นเรื่องของเมตตา แสดงออกมาด้วยการให้ทานและรักษาศีล ถ้าทำอย่างนี้ก็จะช่วยให้เกิดความสันติและความราบรื่นได้ในครอบครัว

ผู้ดำเนินรายการ พระอาจารย์ครับเวลาเราเป็นหวัดทานยาพารา หรือทานผลไม้ที่มีวิตามินซีเยอะๆ อาการหวัดก็จะดีขึ้น แต่ถ้าโรคเกลียดโรคกลัวโรคโกรธ ทานยาอะไรดีครับพระอาจารย์

พระ ไพศาล เมตตาและการให้อภัย การให้อภัยจะทำให้ความโกรธความเกลียดลดลง อาตมาเรียกว่าเป็นยาสามัญประจำใจ เวลาใครมาทำร้ายเราด้วยคำพูดก็ดี ด้วยการกระทำก็ดี มันทำให้เกิดแผลที่ใจ แผลนี้จะถูกซ้ำเติมให้เหวอะหวะและเรื้อรังด้วยความโกรธความเกลียด ถ้าเรารู้จักให้อภัยก็จะช่วยสมานแผลให้หายได้ ต้องเมตตาและให้อภัยเขา เพราะการให้อภัยมันดีต่อเราเอง บางคนบอกว่าจะให้อภัยเขาได้อย่างไร ในเมื่อเขายังไม่รู้สึกสำนึกผิดเลย แต่เราลืมไปว่าเราให้อภัยไม่ใช่เพื่อเขา แต่ให้อภัยเพื่อเราเองเป็นอย่างแรก ถ้าเราให้อภัยความโกรธความเกลียดก็จะน้อยลง ใจเราก็จะสงบเย็นมากขึ้น พอเรามีความโกรธความเกลียดน้อยลง อคติก็จะน้อยลงไปด้วย

คน เราพอมีความเกลียดความโกรธ แล้ว ก็จะทำให้เกิดความกลัว ความกลัวทำให้เกิดอคติ เรียกว่าภยาคติ ถ้ามีภยาคติเกิดขึ้น มันจะทำให้เรามองเขาในแง่ร้าย เห็นเขาเอาเปรียบเรา กลั่นแกล้งเราตลอดเวลา ก็จะเกิดความเกลียดความโกรธและความกลัวเพิ่มขึ้น สาม ก. นี้เป็นวัฏจักรที่หนุนเสริมกัน แต่ถ้าเราจัดการที่ตัวใดตัวหนึ่งก็จะแก้ตัวอื่น ๆได้ เช่นลดละความโกรธด้วยการให้อภัย ต่อมาเมตตาก็จะช่วยบรรเทาความเกลียดได้ ให้อภัยก่อนแล้วก็เมตตา แผ่เมตตาทุกวัน นึกถึงหน้าเขาก่อนนอน เห็นเขายิ้ม เห็นเขามีความสุข นี่เรียกว่าเป็นการแผ่เมตตา ให้อภัยด้วย เมตตาด้วย ความโกรธจะลดลง แล้วเราก็จะมองเขาอย่างตรงตามความเป็นจริงมากขึ้น อันนี้ก็จะทำให้เรามีความสุข ไม่ระแวง ระวังได้นะ แต่อย่าระแวง

ผู้ดำเนินรายการ เป็นยาสามัญประจำใจ ต้องพกติดตัวไว้ทุกวัน

พระ ไพศาล เราต้องพร้อมให้อภัยแม้กระทั่งคนที่อยู่ใกล้เรา เพราะว่าคนที่ทำให้เราเสียใจผิดหวังมากคือคนที่อยู่ใกล้เรา เราต้องพร้อมที่จะให้อภัยเขาด้วย บางทีเราไปคาดหวังว่า เขาจะต้องคิดเหมือนเรา เช่นถ้าเราเป็นสีเหลืองเขาก็ต้องเหลืองด้วย พอเขาสีแดงเราก็ทุกข์ทันทีเลย หรือว่าเราเป็นสีแดง เราก็อยากให้แฟนเราเป็นสีแดง พอเขาสีเหลืองเราก็ทุกข์ เราก็โกรธ โกรธแล้วก็เกลียดตามมา ตรงนี้ก็ต้องมีการให้อภัยคนที่คิดต่างจากเรา โดยเฉพาะกับคนใกล้ตัว แล้วก็ต้องมีความใจกว้างด้วย

ผู้ดำเนินรายการ เดี๋ยวนี้คนเกลียดกันง่ายขึ้น บางทีอาจจะไม่ได้รู้จักกัน อาจจะไม่ได้ให้อะไรซึ่งมีผลทางลบโดยตรงต่อกันและกัน เหมารวมกันว่าคนนั้นอย่างนั้น คนนี้อย่างนี้ เพราะเกลียดชัง ความเกลียดมันเกาะกุมหัวใจง่ายขึ้นใช่ไหมครับพระอาจารย์

พระ ไพศาล เพราะเราเครียด เครียดอยู่ก่อนแล้วเวลาเจออะไรที่ไม่ถูกใจก็จะกระทบใจได้ง่าย พอเครียดแล้วก็มักจะมองอะไรในแง่ลบ เราก็จะเห็นแต่แง่ไม่ดีของเขา พอเห็นข้อไม่ดีของเขา เราก็จะเกลียดเขาง่าย คนเราถ้ามีความสุขก็จะมองเห็นอะไรดีไปหมดเลย มองเห็นธรรมชาติสวยงาม ดอกไม้สวยงาม เห็นผู้คนน่ารักไปหมดเลย

ผู้ดำเนินรายการ เหมือนที่พระอาจารย์ว่า ถ้าอยู่กับคนรัก แดดจะร้อนแค่ไหนแต่ก็รู้สึกว่าลมพัดเย็นสบายจังเลย

พระ ไพศาล ทุกวันนี้คนเรามีความทุกข์อยู่แล้ว และไม่รู้จักปล่อยวาง เก็บความทุกข์มาจากบ้าน จากที่ทำงาน เราก็เห็นเป็นลบไปหมด แต่ถ้ารู้จักปล่อยวาง ทำใจให้สบาย เราก็จะมองอะไรเป็นบวกได้ง่ายขึ้น

ผู้ดำเนินรายการ หลายคนบอกว่ายุคนี้สมัยนี้หาที่พึ่งทางใจยาก แต่ผมว่าที่พึ่งทางใจที่ดีที่สุดก็คือใจของเรา

พระ ไพศาล ใจที่มีธรรมะนะ

ผู้ดำเนินรายการ หาใจที่มีธรรมะให้เจอ แค่นี้จบ

พระ ไพศาล อาตมาว่าทำได้ง่าย เช่น หายใจเข้าลึกๆ หายใจออกยาวๆ สิ่งที่เราหายใจไม่ใช่แค่ออกซิเจนนะ มันเป็นลมวิเศษ อาตมาเรียกว่าลมวิเศษเพราะว่า มันไม่เพียงนำออกซิเจนไปเลี้ยงร่างกาย แต่ยังสามารถเอาความสงบเย็นไปหล่อเลี้ยงจิตใจเราได้ ตอนนี้ลมหายใจอยู่กับเราแล้ว แต่ว่าเราใช้ไม่เป็น อย่างเช่นตอนรถติด อย่ามัวไปกังวลว่าเมื่อไรจะถึงๆ เราทำใจสบายๆ ผ่อนคลาย หายใจเข้าลึกๆ หายใจออกยาวๆ ๑๐ ครั้ง เราจะรู้สึกว่าใจสบาย ปล่อยวางได้มากขึ้น

ผู้ดำเนินรายการ เรียกว่าทำสมาธิได้ไหมครับ

พระ ไพศาล ได้

ผู้ดำเนินรายการ แสดงว่าสมาธิทำได้ทั้งหลับตาลืมตา ทั้งเดินยืนนอน ได้หมดเลย

พระ ไพศาล ได้ ต้องมีสิ่งที่ให้จิตสนใจ เช่น ลมหายใจ แต่อาตมาชอบใช้การคลึงนิ้ว เปิดตาแล้วคลึงนิ้วไป

ผู้ดำเนินรายการ นิ้วอะไรบ้างครับ

พระ ไพศาล นิ้วโป้งกับนิ้วชี้ ได้ทั้งสองมือ แต่ทีละมือนะ ทำสบายๆ รู้บ้าง ไม่รู้บ้าง ไม่เป็นไรอย่าไปเพ่งมาก แต่ถ้าทำแล้วไม่ค่อยมีสมาธิเท่าไร ฟุ้งอยู่ตลอดเวลา ก็ช่างมัน ทำไปเรื่อย ๆ ก็จะเริ่มอยู่ตัว ใจจะหลุดจะลอยไปไหน ประเดี๋ยวมันก็กลับมา อาตมาทำแล้วสบาย แต่บางคนทำใหม่ ๆ อาจจะต้องปิดตาสักหน่อย หลับตาแล้วตามลมหายใจไปก็ได้ คือเราทำได้ตลอดเวลา ไม่ต้องใช้เวลามาก เพราะคนเราก็หายใจตลอดเวลาอยู่แล้ว เราเคลื่อนไหวตลอดเวลาอยู่แล้ว ก็ใช้สิ่งที่เคลื่อนไหว มาเป็นอุปกรณ์ในการเจริญสติ หรือทำสมาธิ

ผู้ดำเนินรายการ ฟังแล้วทึ่ง ตอนนี้ผมลองทำไปด้วย จะได้สงบไวๆ ตอนนี้คำถามที่ผมอยากจะถามก็ได้ถามไปครบหมดแล้ว คราวนี้ถึงคำถามที่ฝากกันมา หลายท่านฝากกันมา หลายท่านบอกว่าฟังข่าวทุกวัน ดูทีวี อ่านหนังสือพิมพ์ ระหว่างที่ฟังข่าวไป ดูข่าวไป ใจควรคิดอะไร

พระ ไพศาล เวลารับรู้ข่าวสารก็ควรมีสติรู้ทันอารมณ์ รู้ทันความรู้สึกกระเพื่อมในใจ เวลาเราอ่านข่าวสารเรามักจะอินไปกับข่าว เจอข่าวไม่ถูกใจก็โกรธ ควรอ่านอย่างมีสติไม่อย่างนั้นเราจะถูกข่าวสารพัดพาใจเราเตลิดเปิดเปิง หรือไม่ก็ทำให้เศร้าโศกหดหู่ท้อแท้ไปตามข่าว ควรมีสติดูใจ ขณะเดียวกันก็ต้องรู้จักวางด้วย อ่านก็อ่านอย่างมีสติ เวลาปิดหนังสือพิมพ์ก็วางมันลง อย่าให้ค้างคาในจิตใจ เวลากินข้าวก็มีสติอยู่กับการกินข้าว ทำงานก็มีสติอยู่กับการทำงาน อย่าไปแบกข่าวสารจนหนักอกหนักใจหรือรกสมอง เราอ่านข่าวสารเพื่อติดตามเหตุการณ์บ้านเมือง และเพื่อรู้ว่าเราจะทำอะไรได้บ้างในฐานะที่เป็นพลเมืองของสังคม แต่ควรรู้ทันอารมณ์ความรู้สึกที่เกิดขึ้น อย่าให้มันครอบงำจิตใจเรา

อาตมา คิดว่านี่เป็นเรื่องสำคัญ มาก แล้วก็ลองหาแง่คิดจากข่าวสารดู อันนี้ละเอียดอีกหน่อย คือว่า คนจำนวนมากติดตามข่าวสารเพราะอยากรู้อยากเห็น แล้วก็พลอยหลงไปตามข้อมูลข่าวสาร อีกส่วนก็ไปจ้องเพ่งโทษที่ตัวบุคคล แต่เราไม่ค่อยสาวหาสาเหตุที่ลึกไปกว่าตัวบุคคล เช่นสนใจแค่ว่าใครทำอะไร แต่ไม่ค่อยถามต่อไปว่าทำไมเขาถึงทำอย่างนั้น การที่เราสาวหาสาเหตุว่าทำไม แทนที่จะไปไปสนใจอยู่แค่ ใคร ทำอะไร ที่ไหน อันนี้จะทำให้เราเกิดปัญญามากขึ้น นี่เป็นการอ่านข่าวสารที่ทำให้เกิดปัญญาได้ ถ้าเราถามว่าทำไมถึงเกิดเหตุการณ์อย่างนี้ ไม่ใช่เพียงแค่ดูว่า ใครทำอะไรที่ไหน เราจะเกิดปัญญามากขึ้น

ผู้ดำเนินรายการ มองโลกแง่บวกเป็นเรื่องในพระพุทธศาสนาหรือไม่

พระ ไพศาล ก็มีนะการมองโลกในแง่บวก ที่อาตมาอ้างถึงบ่อยคือเรื่องของพระปุณณะ ท่านจะไปเมืองสุนาปรันตะ พระพุทธเจ้าก็เตือนว่าคนเมืองสุนาปรันตะเป็นคนดุร้าย ถ้าเขาด่าว่าท่าน ท่านจะทำอย่างไร พระปุณณะก็บอกว่าเขาด่าก็ดีกว่าเขามาทุบตี พระพุทธเจ้าถามว่าถ้าเขามาทุบตี ท่านจะว่าอย่างไร พระปุณณะตอบว่า ถ้าเขามาทุบตีก็ดีกว่าเขาหินมาขว้าง ถ้าเขาเอาหินมาขว้างท่านจะว่าอย่างไร ถ้าเขาเอาหินมาขว้างก็ดีกว่าเอาไม้มาตี พระพุทธเจ้าก็ถามต่อว่า ถ้าเขาเอาไม้มาตีท่านจะว่าอย่างไร พระปุณณะตอบว่า ก็ดีกว่าเอามีดมาฟัน ถ้าเขาเอามีดมาฟันท่านจะว่าอย่างไร พระปุณณะก็บอกว่าเอามีดมาฟันก็ดีกว่าฆ่าให้ตาย พระพุทธเจ้าก็เลยถามคำถามสุดท้ายว่า ถ้าเขาฆ่าท่านให้ตาย ท่านจะว่าอย่างไร พระปุณณะตอบว่า คนบางคนอยากตายก็ต้องไปหาอาวุธมา ไปจ้างคนมาฆ่า แต่ถ้ามีคนมาฆ่าข้าพระองค์ก็ถือว่าดีคือไม่ต้องทำอะไรเลย มีคนทำให้เสร็จ

นี่ คือการมองในแง่บวกของพระปุ ณณะที่พระพุทธเจ้าสรรเสริญ จึงทรงอนุญาตให้พระปุณณะไปเมืองสุนาปรันตะได้ ไปแล้วก็ไม่เกิดเหตุร้ายอะไร ต่อมาคนสุนาปรันตะก็สมาทานพระพุทธศาสนา อันนี้เป็นตัวอย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัดเรื่องการมองในแง่บวก หรืออีกเรื่องหนึ่งก็คือ พระพุทธองค์เคยตรัสว่า ถ้าไปบิณฑบาตแล้วไม่ได้อาหารก็ถือว่าดี ร่างกายโปร่งเบา ปฏิบัติได้สะดวก ไม่ง่วง

ผู้ดำเนินรายการ คือไม่ทุกข์พระทัยว่าไม่มีพระกระยาหารมาเสวยแน่ๆ ก็ไม่ทุกข์พระทัยเลย

พระ ไพศาล คือว่าพอเบากายแล้วก็เลยปฏิบัติได้สะดวก อันนี้ท่านสอนพระรูปอื่นด้วยว่าอะไรเกิดขึ้นก็ดีทั้งนั้น นี่คือการมองแง่บวกของพระพุทธเจ้า

ผู้ดำเนินรายการ คำถามต่อมาครับพระอาจารย์ เรื่องของการตื่นขึ้นมาตอนเช้าสิ่งแรกที่ควรคิดคืออะไร

พระ ไพศาล ควรยิ้ม ยิ้มรับเช้าวันใหม่ ที่ควรยิ้มรับเช้าวันใหม่เพราะว่า เราโชคดีที่ยังมีลมหายใจ ยังมีเช้าวันใหม่ เพราะมีคนอีกมากที่ไม่มีวันใหม่แล้ว แต่เรายังมีชีวิตที่จะได้ทำดี ได้พบได้เห็นคนที่เรารักต่อไป ควรจะดีใจว่า เรามีโชคที่ได้พบเช้าวันใหม่ ประการที่สอง เราควรยิ้มเพราะว่าจะทำให้เรามีความสุข และทำให้เริ่มวันใหม่ด้วยดี ถ้าเราเริ่มต้นวันใหม่ได้ดี ก็เปรียบเหมือนกับว่าวันนี้เราได้พบสิ่งดีไปแล้ว ๕๐ เปอร์เซ็นต์ก็ว่าได้ อย่างที่ภาษิตจีนบอกว่า ถ้าเราเริ่มต้นดีก็สำเร็จไปแล้วครึ่งหนึ่งและถ้าเราตื่นเช้าตรู่ก็ยิ่งดี เพราะตอนเช้าอากาศสดชื่นเหลือเกิน ได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้น จะทำให้จิตใจเบิกบานสดชื่น ทำให้ร่างกายดีไปด้วย

ผู้ดำเนินรายการ เหมือนได้กำไรชีวิต ได้เวลาเต็มที่

พระ ไพศาล อย่าเพิ่งไปนึกถึงอะไรทั้งสิ้น ยิ้มรับเช้าวันใหม่ก่อน บางคนตื่นขึ้นมาก็นึกถึงงานเลย นึกถึงหนี้สิน ถ้าเรานึกอย่างนี้ไม่มีประโยชน์เลย ที่จริงถ้าให้ดีควรตื่นมาโดยมีสติอยู่กับปัจจุบัน สำหรับผู้ที่ชอบเจริญสติจะให้ความสำคัญกับตรงนี้มาก ให้รู้ทันความรู้สึกนึกคิดที่เกิดขึ้น เพียงเท่านี้ก็จะทำให้เราลดละปล่อยวางความเครียดความกังวล แล้วก็จะยิ้มได้เอง

ผู้ดำเนินรายการ เช้าวันใหม่มายังไม่ต้องคิดอะไร ยิ้มก่อนเลย อีกข้อหนึ่งไม่แน่ใจว่าพระอาจารย์จะสะดวกตอบหรือเปล่า ถามว่านักการเมืองควรมีธรรมะอะไร

พระ ไพศาล ถ้าเป็นยุคนี้นะ ต้องมีความซื่อสัตย์สุจริต เป็นอย่างแรกเลย แล้วก็นึกถึงประโยชน์ส่วนรวม อันนี้เป็นคุณธรรมของนักการเมือง เพราะว่านักการเมืองบางคนอาจได้เป็นผู้นำ เป็นผู้ที่รับผิดชอบบ้านเมือง เพราะฉะนั้นการนึกถึงประโยชน์ของบ้านเมืองจึงต้องมี ข้อที่สามคือความกล้าหาญทางจริยธรรม ซื่อสัตย์แล้ว นึกถึงประโยชน์ส่วนรวมแล้ว อาจจะประสบอุปสรรค อาจจะมีคนคุกคาม อาจจะมีคนกลั่นแกล้งก็ต้องมีความกล้าหาญ ถ้าไม่มีความกล้าหาญก็จะยอมแพ้ต่อคำข่มขู่คุกคาม ข้อที่สี่คือความสมถะ ความสันโดษ เพราะถ้าไม่สันโดษแล้วก็จะพ่ายแพ้ต่อสิ่งยั่วยุ ยิ่งเป็นนักการเมืองก็จะมีสิ่งยั่วยุเยอะ อำนาจก็ดี เงินทองก็ดี แต่ถ้าสันโดษ สมถะ สิ่งเหล่านี้ทำอะไรเราไม่ได้ จะมายั่วยุให้ลุ่มหลงอ่อนแอไม่ได้ ก็จะทำให้ความซื่อสัตย์สุจริตก็ดี การทำเพื่อประโยชน์ส่วนรวมก็ดี เป็นไปได้ง่าย ถ้าหวังรวยหวังสบายแล้ว ก็ยากที่จะมีความซื่อสัตย์สุจริต ยากที่จะมีความกล้าหาญทางจริยธรรม ยากที่จะคิดถึงประโยชน์ส่วนรวม ธรรมะสี่ประการสำคัญมากที่จะทำให้นักการเมืองเป็นคนดี และอาจเป็นรัฐบุรุษได้

ผู้ดำเนินรายการ สุดท้ายมีอะไรที่ผมยังไม่ได้ถาม แล้วพระอาจารย์อยากจะเทศน์ฝากไปถึงผู้ฟังทางสถานีครอบครัว ทิ้งท้ายธรรมะดีๆ จากพระอาจารย์ไพศาล

พระ ไพศาล ตอนนี้อย่างที่ทราบแล้วว่าสถานการณ์บ้านเมืองร้อนแรงเหลือเกิน อาตมาคิดว่าสติสำคัญมาก เมตตากรุณาก็สำคัญ ขอสรุปสั้นๆ ว่าให้ใช้สติแก้ปัญหา ใช้เมตตาสร้างสันติ มีปัญหาอะไรก็ตามขอให้ตั้งสติไว้ก่อน อย่าเอาความโกรธความเกลียดเป็นที่พึ่ง และเราต้องเชื่อว่าสันติเกิดขึ้นได้ด้วยการที่คนเรามีเมตตา ต่อทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะในการชุมนุม สติและเมตตาสำคัญมาก ไม่ใช่สำคัญเฉพาะกับเรา ครอบครัวของเราและคนใกล้เคียงเท่านั้น แต่ยังสำคัญกับบ้านเมืองด้วย อันนี้ขอฝากไว้