ปรับปรุงจากคำกล่าวในงาน
ภาวนา เพื่อสันติ บิณฑบาตความรุนแรง
ร่วมกันเป็นน้ำเย็นชโลมใจผู้คนให้หายรุ่มร้อน
ณ อนุสรณ์สถาน ๑๔ ตุลา
วันที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๕๓
บรรยากาศบ้านเมืองตอนนี้คุกรุ่นราวกับอบอวลไปด้วยไอน้ำมัน ซึ่งพร้อมจะระเบิดถ้าเกิดมีประกายไฟลุกวาบขึ้นมา ประกายไฟนี้มิได้อยู่ที่ไหนแต่ อยู่ในใจของทุกคนโดยมีเชื้อ คือความโกรธ ความกลัวและความเกลียดนั่นเอง ถ้าหากว่าเราไม่มีสติรักษาใจ หากมีอะไรมากระทบก็สามารถจุดประกายไฟให้ลุกขึ้นมาในใจ และสามารถลามต่อ ๆ กันไปจนกลายเป็นระเบิดทั่วทั้งเมือง ยิ่งถ้ามีอาวุธอยู่ในมือด้วยแล้ว ความพินาศจะมหาศาลเหลือประมาณ
ในยามนี้จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ เราต้องช่วยกันยับยั้งมิให้ เกิดความรุนแรงขึ้นมา ด้วยการมีสติรักษาใจ อย่าให้ความโกรธเกลียดครองใจ จนลุแก่โทสะได้ง่าย แต่หากยังไม่สามารถควบคุมจิตใจ ตนเองได้ อย่างน้อยก็ไม่ควรพกพาอาวุธ ถ้าเราไม่พกพาอาวุธ ไม่ว่าปืนผาหน้าไม้หรืออาวุธโดยสภาพ ก็จะช่วยป้องกันมิให้สถานการณ์ลุกลาม
อาตมา อยากจะขอเตือนให้ทุกฝ่ายตระหนัก ว่าความรุนแรงไม่ใช่ค ำตอบ ความรุนแรงอาจจะ สามารถนำชัยชนะมาได้อย่างรวดเร็ว แต่ก็เป็นชัยชนะชั่วคราว มันแก้ปัญหาได้ในระยะสั้น แต่จะก่อให้เกิดปัญหาที่ถาวรหรือยั่งยืนตามมา เมื่อใดก็ตามที่เราใช้ความรุนแรง เรากำลังถลำตัวเข้าสู่วงจรอุบาทว์ ที่ชื่อว่าการจองเวร วงจรแห่งการจองเวรจะทำให้เราจมปลักอยู่ในความรุนแรงและยากที่จะถอนตัวขึ้น เพราะเมื่อคนอื่นถูกเราทำร้าย เขาก็จะตอบโต้เราด้วยความรุนแรง ซึ่งก็จะทำให้เราเจ็บปวดและอด ไม่ได้ที่จะต้องตอบโต้เขาอย่าง รุนแรงเช่นกัน ยิ่งเจ็บปวดและโกรธแค้นมากเท่าไรก็ยิ่งยากจะหลุดจากวงจรอุบาทว์นี้ได้
แต่ไม่ใช่เราคนเดียวเท่านั้นที่ จะจมปลักอยู่ในวงจรนี้ ประเทศชาติทั้งประเทศจะถูกผลักเข้าไปอยู่ในวงจรแห่งการจองเวรและยากที่จะไถ่ ถอนออกมาได้ ต่างฝ่ายต่างก็จะตอบโต้และแก้แค้นกันไปมาจนพินาศกันทุกฝ่าย เพราะฉะนั้นก็อยากให้เราทุกฝ่ายตระหนักว่าความรุนแรงไม่ใช่คำตอบ ไม่สามารถให้ชัยชนะที่
ยั่งยืนได้
วันนี้ จิตใจของหลายคนอัดแน่นด้วย ความโกรธเกลียด จิตใจจดจ้องอยู่กับการกำจัดศัตรูให้ดับสูญ แต่ขอให้ระลึกว่าไม่มีใครที่เป็น ศัตรูถาวร สหรัฐอเมริกาและเวียดนามทำสงคราม กันมา ๓๐ ปี ฆ่ากันตายนับล้านๆ คน สูญเสียย่อยยับมหาศาล แต่ทุกวันนี้ก็กลับมาเป็นมิตรกัน เราเคยมีการต่อสู้กันระหว่างฝ่าย ขวากับฝ่ายซ้าย จนถึงขั้นลอบฆ่ากันในเมืองและจับอาวุธสู้กันในป่าเขา ผู้คนตายเป็นอันมาก แต่ทุกวันนี้ทั้งสองฝ่ายก็จับมือเป็นเพื่อนกัน ในทำนองเดียวกันคนที่เราตราหน้า ว่าเป็นศัตรูในวันนี้ วันข้างหน้าก็อาจเป็นเพื่อนกันได้ ดังนั้นจะทำร้ายกันไปทำไม และถ้าเราทำร้ายกันถึงขั้นเอา ชีวิตกันแล้ว เราจะมองหน้าพ่อแม่และลูกหลานของเขาอย่างไร เราจะต้องทนทุกข์กับความรู้สึก ผิดไปอีกนานเท่าไร ที่สำคัญกว่านั้นก็คือลูกหลานของเราจะอยู่กันอย่างไรในสังคมที่ตราตรึงอยู่ กับความเจ็บปวด ความคับแค้น และความพยาบาท บ้านเมืองของเราจะเป็นอย่างไร หากจิตใจของผู้คนเต็มไปด้วยบาด แผลเช่นนี้
ขอให้เรามีสติ และมีปัญญาที่มองการณ์ไกล เห็นชัดถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นในวันข้างหน้าหากเราใช้ความรุนแรงต่อกัน ขอให้เรามีปัญญาที่จะมองเห็นความ คล้ายคลึงกันของผู้คนที่ใส่ เสื้อคนละสีหรืออยู่คนละ ฝ่าย ไม่ใช่มองเห็นแต่ความแตกต่างกัน เท่านั้น ขอให้เราระลึกว่าไม่ว่าจะสวมเสื้อ สีอะไร เราจะต้องอยู่ด้วยกันบนแผ่นดิน นี้ไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่ ไม่มีอะไรที่จะทำให้เราอยู่ได้ อย่างสันติสุขนอกจากความรัก ความเมตตา และความเข้าอกเข้าใจกัน
วันนี้บรรยากาศกำลังร้อนแรง ผู้คนเป็นจำนวนมากกำลังมีสภาพไม่ ต่างกับระเบิดที่ยังไม่ได้ถ อดสลัก สามารถที่จะเป็นอาวุธร้ายแรงทำลาย ซึ่งกันและกันได้ แต่เมื่อใดก็ตามที่เรามีสติ มีปัญญา มีเมตตา ก็จะช่วยยับยั้งมิให้เกิดเหตุ ร้ายขึ้นได้ บรรยากาศยิ่งร้อนแรง ก็ยิ่งจำเป็นที่พวกเราทั้งหลายจะร่วมกันรักษาใจให้เป็นเสมือนกับน้ำเย็น ที่สามารถชโลมจิตใจของคนทั้งหลาย ที่กำลังรุ่มร้อนให้สงบเย็น ได้ แม้เราจะไม่ใช่คู่ขัดแย้ง แต่เราก็สามารถช่วยบรรเทาสถานการณ์ให้ดีขึ้นได้ ถ้าเรามีเมตตากรุณาและมีสติ ทำให้ใจสงบเย็น ใจที่สงบเย็นนั้นแหละที่จะช่วยดับไฟในใจของผู้คนทำให้เขาสงบเย็น และสกัดกั้นมิให้เกิดระเบิดเผาผลาญบ้านเมือง
ขอให้เราทุกคนช่วยรักษาใจให้สงบ เย็น และร่วมกันกอบกู้สถานการณ์บ้าน เมืองให้กลับคืนสันติสุขและ สู่การคืนดีกันได้ในที่สุด
ที่มา http://www.visalo.org/article/pavana.htm