วันนี้ ได้มีโอกาสมาคุยกับคุณเมตตา ชิว จากมูลนิธิพุทธฉือจี้ประเทศไทย  เป็นคนไต้หวัน แต่มาทำงานช่วยเหลือคนไทยในประเทศไทย มาอยู่เมืองไทยมาได้ 10 กว่าปีแล้ว เมื่อก่อนเป็นคนชอบเที่ยว ชอบแต่งตัว ชอบเที่ยวต่างประเทศไปมาประมาณ 20กว่าประเทศแล้ว  หนึ่งในนั้นก็มีประเทศไทยด้วย ตอนนั้นเป็นช่วงวันสงกรานต์ดี แล้วก็รู้สึกว่าทำไมคนที่ไม่รู้จักกันถึงเล่นน้ำด้วยกันได้ รู้สึกเหมือนกับว่าในวันนั้นทั้งประเทศเป็นครอบครัวเดียวกัน  ทำให้รู้สึกเกิดปีติว่า ประเทศนี้ดีมากเลย คนใจดี และก็รู้สึกว่าคนอบอุ่น แล้วก็เลยเลือกมาอยู่ประเทศไทย

เริ่มมาทำงานกับมูลนิธิพุทธฉือจี้ประเทศไทย  เมื่อปีที่ไต้หวันแผ่นดินไหว แล้วเห็นในหนังสือพิมพ์ว่าที่นี่ก็มีฉือจี้ ก็เลยเข้ามาช่วย ตอนอยู่ไต้หวันก็เคยบริจาคเงินให้ฉือจี้นะ แต่ไม่ได้เข้ามาช่วยงานอะไร ฉันก็คิดว่าตัวเองเป็นคนดีแล้วนะ แต่พอเห็นคนที่น่าสงสารฉันก็คิดว่าเขาน่าสงสารจังแล้วฉันก็ไม่ได้ทำอะไรก็ กลับบ้านไป ฉันไม่รู้ว่าจะทำยังไง และก็ไม่รู้ว่าต้องทำด้วย แต่เรารู้สึกว่าเราเมตตา แต่เมตตามันไม่พอต้องปฏิบัติด้วย และฉือจี้ก็พาฉันไปปฏิบัติช่วยเหลือคนอื่น และตอนที่ไปช่วยเหลือ
คนอื่น ก็ทำให้ฉันรู้จักพอ รู้จักขอบคุณ แล้วจิตใจจะดีขึ้น  แล้วชาวฉือจี้ก็ต้องทาครีมฉือจี้  ครีมฉือจี้คือ “รอยยิ้ม” ครั้งนึงฉันไปอบรมที่ไต้หวัน

เขาให้ฉันพกกระจกบานเล็กๆ ติดตัวไว้ พอถึงวันสุดท้าย เขาจะให้หยิบกระจกขึ้นมาแล้วส่องดูหน้าตัวเอง ว่าหน้าสวยไหม แล้วยิ้มยังไงสวยที่สุด เขาบอกว่ารอยยิ้มของเราทำให้เราเปลี่ยนแปลง แล้วยิ้มให้สวยนะต้องเห็นฟัน ทั้งหมด 8 ซี่  ฉันยิ้มมาตั้งแต่เด็กยังต้องมาฝึกยิ้มอีก แล้วฉันก็ยิ้มอย่างนั้น ไม่เป็น ชาวฉือจี้เขาก็บอกว่า ถ้าอย่างนั้นแกล้งยิ้มดูก็ได้

หลังจากทำงานฉือจี้มาได้ 2-3 ปี มีอยู่ครั้งนึงน้องสาวไปด้วยและก็นอนด้วยกัน ตัวน้องสาวเป็นคนเครียด อยากให้ลูกชายเก่งที่สุด ลูกสาวสวยที่สุด ดีที่สุด พอถึงเวลานอนฉันก็นอนหลับปกติแต่น้องสาวนอนไม่หลับ พอตอนเช้ามาน้องก็มาเล่าให้ฟังว่าเมื่อคืนนี้นอนไม่หลับเลย แต่พี่เป็นอะไร นะนอนยิ้มได้ทั้งคืนเลย แล้วเราก็รู้ว่าอย่างนี้ถูกต้องแล้วเราไม่ต้องแกล้งยิ้มแล้ว เพราะยิ้มไปนานๆก็จะเหมือนจริง เพราะเราช่วยเหลือคนอื่น โดยไม่หวังผล ตอบแทน แล้วความสุขก็จะออกมาจากข้างใน เมื่อก่อนก็เป็นคนชอบยิ้มนะ แต่ชอบยิ้มเวลาที่ลูกค้ามาและเงินเข้ากระเป๋า

แล้วอยู่ดีๆก็ต้องมายิ้มกับคนอื่น คนไม่รู้จักก็ยิ้มไม่เป็น เลยต้องฝึกยิ้ม แล้วเวลาไปช่วยผู้ยากไร้นะ จะสกปรกแค่ไหนจะเหม็นยังไงก็ทำหน้าเหม็นไม่ได้นะต้องยิ้ม ต้องเซ็ตหน้ายิ้มไว้เลยนะ แล้วเวลาอยู่ที่บ้านนะ เราก็ยิ้มกับคนที่ใกล้ชิดเรามากที่สุด ก็ทำให้ครอบครัวรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาทันที แล้วผู้หญิงของฉือจี้นะ ปากต้องพูดแต่สิ่งที่ดีนะ อันนี้ก็ต้องฝึกพอพูดแต่สิ่งที่ดีนะ ใครๆก็ชอบ จิตใจ ที่มีความรักไปไหนเขาก็รัก ถ้ามัวแต่พูดว่าคนนั้นมองแต่คนอื่นไม่ดี  เราไม่เคยคิดว่าคนอื่นดี คิดแต่ว่าตัวเองดี แต่ตอนนี้ให้มองตัวเองแล้วตรงไหนที่ไม่ดีก็ให้แก้ไข แล้วเวลาคนอื่นก็ให้มองแต่จุดที่เขาดี ให้เรามองโลกอีกมุมนึง
ปากพูดแต่สิ่งที่ดี ใจคิดแต่สิ่งที่ดี เพราะเวลาคิดอะไรปากก็จะพูดออกมาอย่างนั้น แล้วหน้าตาก็จะแสดงออกมาอย่างนั้น  ใจคิดดี ปากพูดดี แล้วมือทำความดี แล้วขาเดินทางดี นี่คือสิ่งที่อาสาสมัครต้องทำ

ตอนนี้ฉันเป็นกรรมการของฉือจี้ และรับผิดชอบโซนบางกะปิ และเป็นหัวหน้ากลุ่ม และทุกวันก็ต้องไปเยี่ยมเยียนผู้ยากไร้ เราจะเอาของไปให้ทุกเดือน และก็ไป เยื่อมเค้า แล้วก็ไปดูว่าเค้าต้องการความช่วยเหลืออะไรบ้าง  แล้วก็ไปจัดกิจกรรมสอนเด็กให้รู้จักการพับเสื้อผ้า กวาดบ้าน ถูบ้าน ล้างจาน แล้วกลับบ้าน ไปต้องไปช่วยพ่อแม่ยังไง  และเน้นสอนในเรื่องความกตัญญูและคุณธรรม  เราคิดว่าการที่ทำให้เด็กดีขึ้นมาหนึ่งคน วันหลังก็จะเพิ่มไปเป็นหนึ่งครอบครัว

แล้วสมมุติในหมู่บ้านมีอย่างอยู่หลายครอบครัว ก็จะกลายเป็นหมู่บ้านที่ดี กลายเป็นตัวอย่าง แล้วถ้าทุกหมู่บ้านดีสังคมก็จะดีขึ้น แล้วประเทศก็จะดีขึ้น ถ้าประเทศนี้ดีขึ้น ประเทศอื่นก็จะดีขึ้น ก็กลายเป็นว่าอาสาสมัคร นี่ต้องตั้งปณิธานใหญ่ๆ และอย่าดูถูกตัวเอง ท่านธรรมจารย์ บอกว่า” ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้ ความตั้งใจทำให้มันสำเร็จได้”

สัมภาษณ์และเรียบเรียง โดย  ศิริวิภา ศโรภาส
มูลนิธิพุทธฉือจี้ประเทศไทย
http://www.tzuchithailand.org/