“ชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ คือ การชนะใจตัวเอง” หลายคนอาจไม่เข้าใจคำพูดนี้อย่างถ่องแท้ แต่สำหรับอีกหลายชีวิตบนโลกใบนี้ พวกเขาเข้าใจดีว่า “อุปสรรค” คือ “ความท้าท้าย” และเป็นบททดสอบความแข็งแกร่งของ “จิตใจ” หากฝ่าฟันมันได้ นั่นหมายถึงชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ ลองไปย้อนดูกันว่า ในปี พ.ศ.2554 นี้ มีเรื่องราวของใครบ้างที่สมควรได้รับการยกย่องให้เป็นสุดยอดคนหัวใจแกร่ง ที่สามารถฟันฝ่าอุปสรรคที่ถาโถมเข้ามาในชีวิตได้อย่างน่าชื่นชม
จอย – สด – เยล
สามสหายยอดนักสู้ …ผู้ไม่ท้อต่อชะตาชีวิต
เมื่อความพิการ ไม่ได้ทำให้พวกเขาย่อท้อ ทั้ง “สด” , “เยล” และ “จอย” สามสหายผู้พิการตั้งแต่กำเนิดที่มาอยู่รวมกันในโรงเรียนศรีสังวาลย์เชียงใหม่ อำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่ ก้าว เดินต่อไปข้างหน้า เพื่อความฝันอันสูงสุดของชีวิต…นั่นจึงทำให้สามเกลอชักชวนกันออกมาใช้ ชีวิตอยู่ภายนอกโรงเรียน ที่ไร้ซึ่งสิ่งอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้พิการ เพื่อที่พวกเขาจะได้หยัดยืนใช้ชีวิตในโลกภายนอกได้เหมือนคนทั่วไป และเป็นบทพิสูจน์หนึ่งของชีวิต ที่สามสหายปณิธานว่า จะต้องทำให้สำเร็จ
“สด” ดูจะเป็นชายหนุ่มที่กล้าหาญที่สุด เขาเป็นตัวตั้งตัวตีในการชวนเพื่อน ๆ ออกมาใช้ชีวิตข้างนอก และพยายามให้กำลังใจเพื่อน ๆ กำจัดอุปสรรคความกลัวให้หมดไป ดังที่เขาเคยพูดว่า “ถึงผมจะพิการ แต่ผมก็เป็นคน ๆ หนึ่งในสังคม อย่ามองคนเพียงแค่เปลือกกายข้างนอก”
และเมื่อความกลัวที่เป็นปัญหาถูกขจัดให้หมดสิ้น สามสหายจึงอยู่ในสังคมคนธรรมดาได้อย่างปกติสุข และ ด้วยความขยันยังทำให้พวกเขาสามารถสอบโควต้าเด็กพิการเข้าศึกษาต่อมหา วิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของภาคเหนือได้สมดังใจหมาย แม้การเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัย อาจนำพาบททดสอบที่แสนยากเข็ญมาให้พวกเขาต้องเผชิญในด่านต่อ ๆ ไป แต่ทั้งสามคนก็สัญญากับตัวเองว่า จะไม่ยอมแพ้ และไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นภาระของคนอื่น พวกเขาทั้งสามจะขอพิสูจน์ให้คน ร่างกายปกติเห็นว่า แม้พวกเขาจะพิการ แต่ก็ไม่มีอะไรที่แตกต่างจากคนทั่วไปในสังคมเลย ขอเพียงแค่ให้โอกาสพวกเขา เพราะโอกาสคือสิ่งที่จะช่วยเปลี่ยนแปลงชีวิตของทุกคน
“การที่ผมมาถึงจุดนี้ได้ มันไม่ใช่เป็นการพิสูจน์ตัวเองเท่านั้น แต่มันเป็นเครื่องพิสูจน์ให้คนที่ยังมีสภาพร่างกายที่คล้ายกับผม หรือใครที่ท้อใจได้มีกำลังใจขึ้นมา ผมเชื่อว่าคนพิการอย่างพวกเราทำได้ถ้ามีความพยายามจริง และสามารถอยู่ในสังคมอย่างมีศักดิ์ศรีเท่าเทียมกัน ผมอยากเป็นตัวอย่างให้คนเหล่านั้น พยายามลุกขึ้นสู้ทำให้ชีวิตที่สดใส ให้มีอนาคตที่ดี อย่ายึดติดกับคำว่าพิการแล้วยอมแพ้”
ณ วันนี้ สามสหายนักสู้ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า หากมีความหวัง ความพยายาม และสามารถขจัดความกลัวออกไปได้ ก็จะสามารถทำทุกสิ่งอย่างได้สำเร็จดังใจปรารถนา สมในฐานะเจ้าของรางวัล “คนเล็กหัวใจใหญ่” จากรายการสารคดีแห่งชีวิต “คนค้นฅน”
รักแท้ของแม่จันดี…เลี้ยงลูกพิการแม้ไม่ใช่เลือดในอก
ย้อน กลับไปเมื่อ 9 ปีที่แล้ว …เด็กหญิงน้ำผึ้ง ยังเป็นเด็กทารกวัยแบเบาะที่โชคร้ายถูกคนทิ้งอยู่ข้างทาง แต่ในความโชคร้ายนั่นเอง ก็ทำให้เธอได้พบเจอกับ “แม่จันดี รบชนะ” คนงานก่อสร้างผู้มีจิตใจประเสริฐที่ตัดสินใจเก็บ “น้ำผึ้ง” มาเลี้ยงดูฟูมฟัก และมอบความรักให้ราวกับเป็นลูกแท้ ๆ ก็มิปาน
ตลอดเวลา 9 ปีที่ผ่านมา “แม่จันดี” ไม่เคยสนใจเสียงของญาติ ๆ ที่ไม่เห็นด้วยกับการที่คนหาเช้ากินค่ำอย่างเธอจะเก็บเด็กมาเลี้ยงเพิ่มภาระ ให้แก่ตัวเอง ตรงกันข้ามเธอกลับเฝ้าทะนุถนอมเลี้ยงดู “น้ำผึ้ง” อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง นั่นก็เพราะ “น้ำผึ้ง” เป็นเด็กที่มีความพิการทางสติปัญญา เด็กสาวเดินไม่ได้ พูดไม่ได้ และมีพัฒนาการช้ามาก สร้างความร้อนใจให้กับแม่จันดีเป็นอย่างมาก และเมื่อฐานะทางบ้านไม่ได้ดีนัก แม่จันดีจึงต้องดิ้นรนเข้ามาหางานทำที่จังหวัดสมุทรปราการ แน่นอนว่า เธอไม่ลืมจะอุ้ม “น้ำผึ้ง” ลูกสาวคนนี้มาด้วยกันกับเธอ เหตุผลแรกคือเพื่อจะได้ดูแลลูกสาวอย่างใกล้ชิด ในขณะเดียวกัน ก็จะได้พาลูกสาวเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลรามาธิบดี
ภาพของแม่จันดีแบกลูกสาววัยน่ารักขึ้นหลังเดินทางจากอนุสาวรีย์ไปยังโรง พยาบาลรามาธิบดี กลายเป็นภาพที่ชินตาของใครหลาย ๆ คน เพราะเธอทำเช่นนี้มาตลอด 9 ปี และยืนยันว่าจะดูแลลูกสาวคนนี้ต่อไปอย่างดีที่สุด แม้ไม่ใช่เลือดในอก แต่เพราะเธอถือว่า ตัวเองคือแม่ของ “น้ำผึ้ง”
ทุกวันนี้ “น้ำผึ้ง” เริ่มช่วยเหลือตัวเองได้บ้างแล้ว พร้อมกับมีหน่วยงานหลายหน่วยงานยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือจันดี แต่จันดีก็ไม่ได้นั่งนิ่งรอแต่ความช่วยเหลืออย่างเดียว เธอพยายามดิ้นรนต่อสู้ ทำเพื่อความสุขของครอบครัว โดยบอกว่า… “ไม่เหนื่อยเลย ไม่รู้สึกสักนิด เห็นพวกเขากินอิ่ม นอนหลับ ความสุขก็ยิ้มได้แล้ว”
ชีวิตที่เลือกเกิดไม่ได้ของ เด็กหญิงนวียา ผู้ชายครับผม
“ไม่มีใครเลือกเกิดได้” เป็นสัจธรรมจริงแท้แน่นอนที่มนุษย์ทุกคนต้องยอมรับ แต่ถึงกระนั้น หากเราไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค เราก็สามารถกำหนดชะตาชีวิตของตัวเองได้ ด้วยหนึ่งสมองและสองมือของเราเอง…
อย่างเช่น น้องกิ่ง นวียา ดวงจันทร์ ที่เธอเกิดมาพร้อมกับความผิดปกติที่น้อยนักจะพบเห็น นั่นเพราะเธอคลอดออกมาจากท้องแม่ โดยมีอวัยวะเพศที่มีทั้งเพศหญิง และชายในบริเวณเดียวกัน ก่อนที่แพทย์จะพาน้องกิ่งไปตรวจร่างกายอย่างละเอียด และลงความเห็นให้เธอเป็น “เพศหญิง” ชีวิตของลูกสาวคนสุดท้องของครอบครัวดวงจันทร์ จึงได้รับการประคบประหงมเป็นพิเศษจากแม่และพี่ ๆ แต่ทว่า….เมื่อกาลเวลาผ่านไป “นวียา” กับพบว่าตัวเองคล้ายเพศชายเสียมากกว่า
ในวัย 13 ปี เด็กหญิงนวียา กลายเป็นเด็กหญิงที่มีรูปร่างสูงใหญ่ราวกับเพศชาย มีกล้ามเนื้อแข็งแรง อกผาย ไหล่ผึ่ง เริ่มมีหนวดอ่อน ๆ และเสียงแตกห้าวมิต่างจากเพื่อนผู้ชายในรุ่นเดียวกัน นั่นแสดงให้เห็นว่าเธอกำลังแตกเนื้อหนุ่ม แต่เพราะสภาพคำนำหน้าที่เธอ เป็น “เด็กหญิง” ทำให้ทุกวันนี้ “นวียา” ยังต้องสวมกระโปรงไปโรงเรียน แม้ว่ามันจะขัดแย้งกับชีวิตก้าวต่อไปในอนาคตของเธอ ซึ่งกำลังต้องหาทางออกที่เหมาะสมต่อไป
น้องสตางค์ บทเพลงเพื่อพ่อ…ต่อชีวิตครอบครัว
เมื่อภาระหนักอึ้งในการเลี้ยงดูครอบครัว ตกอยู่กับเด็กผู้หญิงวัยเพียงสิบขวบ นี่จึงกลายเป็นบททดสอบอันใหญ่หลวงของเธอคนนี้…น้องสตางค์ รุ่งทิวา วิบุตร
ลูก สาวคนสุดท้องของครอบครัววิบุตรคนนี้ เธอเกิดมาในครอบครัวที่พ่อป่วยเป็นโรคไตวายเรื้อรัง ส่วนแม่ก็เป็นเพียงแม่บ้าน ที่ต้องเลี้ยงดูลูกสาวอีก 3 คน แน่นอนว่า ด้วยลำพังเงินเดือนแม่บ้านก็ไม่เพียงพอที่จะเลี้ยงดูลูกสาวทั้ง 3 คน ได้อย่างสุขสบายแล้ว แถมยังต้องใช้เงินจำนวนมากในการรักษาหัวหน้าครอบครัวที่ล้มป่วยด้วยโรค เรื้อรัง นั่นจึงเป็นเหตุให้ “น้องสตางค์” เด็กสาวที่เกิดมาพร้อมกับเสียงสวรรค์ ใช้พรสวรรค์นี้ของเธอสู้เพื่อต่อลมหายใจให้กับห้าชีวิต
ด้วยเสียงร้องที่สะกดคนฟังให้นิ่ง อึ้ง และทึ่งกับความสามารถของเด็กหญิงวัยสิบขวบ ได้ทำให้เด็กหญิงคนนี้เริ่มเดินสายร้องเพลงตามเวทีต่าง ๆ เพื่อหาเงินมาจุนเจือครอบครัว ยามใดที่เธอปรากฏตัวบนเวที จะมีผู้คนปรบมือให้กำลังใจเด็กหญิงคนนี้เป็นจำนวนมาก และด้วยเสียงอัน ไพเราะจับใจผู้ฟัง ก็ทำให้ “น้องสตางค์” คว้ารางวัลใหญ่ ๆ ได้จากหลาย ๆ เวที จนทำให้เธอกลายเป็นที่รู้จักในฐานะ “นักร้องเงินล้าน”
แน่ นอนว่า นอกจาก “น้องสตางค์” จะได้รับความสุข ในยามที่ต้องขึ้นแสดงความสามารถแล้ว เธอยังรู้สึกอิ่มเอมใจที่ได้มีส่วนช่วยเหลือครอบครัวให้ประทังชีวิตต่อไปได้ ที่สำคัญ “น้องสตางค์” ยังระลึกอยู่เสมอว่า บทเพลงที่เธอขับกล่อมก็เปรียบเสมือนบทเพลงที่แสดงความกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ เพราะทุกครั้งที่เธอลงชิงชัย นั่นหมายถึงเธอกำลังต่อสู้เพื่อรักษาอาการป่วยของพ่อนั่นเอง
น้องเต้ย หนูน้อยผู้พิการ กับคุณพ่อสู้ชีวิต
เราอาจจะเคยได้ยินเรื่องราวของแม่ที่เลี้ยงลูกน้องเพียงลำพังมามากแล้ว แต่ครั้งนี้ เป็นเรื่องราวของยอดคุณพ่อที่เลี้ยงดูลูกชายพิการเพียงลำพัง ด้วยกำลังใจและจิตใจที่กล้าแข็งจนผู้คนยกย่อง
น้องเต้ย…เด็กชายชวนากร แซ่จึง หนูน้อยวัย 2 ขวบ หน้าตาน่ารัก แต่ทว่าน้องเต้ยเกิดมาพร้อมกับร่างกายที่พิการมาแต่กำเนิด โดยมีหน้าตาอยู่ผิดตำแหน่ง ขาทั้งสองข้างยาวไม่เท่ากัน ทำให้ตลอดชีวิตที่ผ่านมาสองปีของหนูน้อยต้องผ่านมีดผ่าตัดมาแล้วไม่รู้กี่ ครั้งต่อกี่ครั้ง และยังต้องถูกเจาะกะโหลกเพื่อดูดน้ำออกจากสมอง ตั้งแต่อายุเพียงแค่ 2 เดือน โชคดีที่น้องเต้ย มีคุณพ่อเริงชัย หรือ พ่อตี๋ คอยดูแลลูกชายคนนี้อยู่มิห่างกาย
“พ่อ ตี๋” เล่าให้ฟังว่า หลังจากแม่ของน้องเต้ยทิ้งพวกเขาไป เขาและลูกชายสองชีวิตใช้ชีวิตอยู่อย่างลำบาก แม้น้องเต้ยจะได้ขึ้นทะเบียนเป็นเด็กพิการ แต่ก็ไม่เคยได้รับเงินดูแล และ เขาเองก็ไม่อยากจะส่งน้องเต้ยไปอยู่สถานสงเคราะห์เด็ก หรือคนพิการ เพราะทำใจไม่ได้ที่ต้องพรากจากลูกชายที่เลี้ยงมากับมือ ดังนั้นแล้ว พ่อตี๋จึงดูแลน้องเต้ยเป็นอย่างดี ทุก ๆ วันจะตื่นตั้งแต่ตีสี่มาหุงหาอาหาร กวาดบ้าน ซักผ้า ป้อนข้าว ป้อนน้ำให้น้องเต้ย หากวันใดมีลูกค้านำ ไดนาโม หรือเครื่องใช้ไฟฟ้ามาซ่อม ก็ยังพอมีรายได้จุนเจือครอบครัวบ้าง แต่หากวันใดไม่มีลูกค้า เขาก็ไม่ลังเลที่จะยอมอด เพื่อให้ลูกน้อยได้อิ่มท้อง
และนับเป็นโชคดีที่คนไทยมีน้ำใจยังหาได้ทั่วไปในสังคม เมื่อชาวพันทิปจำนวนมากที่ได้รับรู้เรื่องราวที่น่าสงสารของครอบครัวน้อง เต้ย ได้ร่วมกันบริจาคข้าวของเครื่องใช้จำเป็นให้กับน้องเต้ย ตามความประสงค์ของพ่อตี๋ที่ไม่ต้องการเงิน แต่ขอรับบริจาคเป็นสิ่งของเลี้ยงดูน้องแทน อีกทั้งยังมีคนแวะเวียนไปเยี่ยมเยียนให้กำลังใจน้องเต้ย พ่อตี๋ อยู่บ่อย ๆ ก็ทำให้ ณ วันนี้ น้องเต้ย แข็งแรงขึ้นมาก เช่นเดียวกับ “พ่อตี๋” ที่ได้รับกำลังใจเป็นอย่างดี และยืนยันว่า ถึงจะลำบากเพียงใด ก็จะไม่มีวันทิ้งลูกแน่นอน
สมศักดิ์ เหมรัญ หนุ่มสู้ฝัน…โชว์กีตาร์มือเดียว
เพราะความอดทนและความพยายาม ส่งผลให้ “สมศักดิ์ เหมรัญ” หนุ่มเลือดสะตอ วัย 29 ปี ที่ประสบอุบัติเหตุจนแขนซ้ายเป็นอัมพาต สามารถฝึกฝนกีตาร์ที่เขารักด้วยมือเดียวได้สำเร็จ และก้าวขึ้นโชว์ความสามารถบนเวที Thailand’s Got Talent ได้สมดังใจฝัน
ด้วยความที่ “สมศักดิ์” หลงรักในเสียงดนตรีและชอบเล่น กีตาร์มาก แม้จะอ่านตัวโน้ตไม่ออกเลยสักตัว เขาจึงเพียรฝึกฝนการเล่นกีตาร์มือเดียวให้จงได้ โดยมีพี่ชายปลุกให้เขาลุกขึ้นสู้อีกครั้ง และเมื่อเขาได้นำความสามารถนี้ขึ้นไปร้องเพลง “ศรัทธา” บนเวที Thailand’s Got Talent การแสดงของเขาได้ตราตรึงผู้คนทั้งห้องส่ง ขณะที่ผู้ชมทั้งประเทศต่างก็ต้องเสียน้ำตาให้กับเลือดนักสู้ของชายคนนี้
สมศักดิ์ บอกว่า ที่ ตัดสินใจขึ้นเวทีนี้ เพราะต้องการส่งผ่านความหวัง และกำลังใจต่อไปยังเพื่อนร่วมโลกคนอื่น ๆ ที่กำลังท้อแท้ในชีวิต ให้ดูชีวิตและความมุ่งมั่นของเขาเป็นตัวอย่าง แม้ว่าท้ายที่สุดแล้ว “สม ศักดิ์ เหมรัญ” จะได้เพียงรองแชมป์ แต่เชื่อว่าคนไทยทั้งประเทศคงจดจำภาพของความมุ่งมั่นของผู้ชายคนนี้ไปอีกนาน แสนนาน เพราะเขาคือแบบอย่างให้ทุกคนที่สิ้นหวัง ท้อแท้ ได้มีแรงบันดาลใจลุกขึ้นสู้อีกครั้ง
พ่อเฒ่านักสู้…ทำกับดักหนูหาเงินเลี้ยงลูกชายพิการ
ณ ตำบลสำนักขุนเณร อำเภอดงเจริญ จังหวัดพิจิตร ยังมีสองพ่อลูกอาศัยอยู่ในกระท่อมเล็ก ๆ มุงด้วยหญ้าแฝก โดยผู้เป็นลูกชาย แม้ว่าจะมีอายุ 21 ปีแล้ว แต่เพราะมีความพิการติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด ทำให้ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้เลย ภาระหน้าที่ในการเลี้ยงดูจึงตกเป็นของคุณตาจเร คำมี วัย 74 ปี ที่ต้องเลี้ยงดูลูกชายคนนี้ให้ดีที่สุด หลังจากภรรยาเสียชีวิตไปตั้งแต่ลูกชายเพิ่งมีอายุได้เพียง 3 ขวบ
ทุกวันนี้ คุณตาจเร หาเลี้ยงชีพด้วยการประดิษฐ์อุปกรณ์ดักจับหนูนาแบบภูมิปัญญาชาวบ้าน หรือที่เรียกว่า “ด้วง” นำไปขายให้เกษตรกร ซึ่ง ทุก ๆ วัน คุณตาจะเดินเท้าออกไปหาไม้ไผ่มาเป็นวัตถุดิบ และเมื่อกลับมาที่บ้านก็จะต้องคอยป้อนข้าว ป้อนน้ำ ดูแลลูกชายในทุก ๆ เรื่อง
ตลอดชีวิตที่ผ่านมา คุณตาจเร ทำหน้าที่พ่อได้อย่างดีเยี่ยม แต่ถึงกระนั้น สิ่งที่เขายังห่วงมากที่สุดก็คือ ด้วย วัยใกล้ฝั่งที่มีโรคประจำตัวหลายโรครุมเร้าอาจจะทำให้ตัวเองต้องจากโลกนี้ไป ก่อน และหากเป็นเช่นนั้น เขาคงไม่สามารถนอนตายตาหลับได้ เมื่อต้องทิ้งลูกชายที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ไว้บนโลกนี้เพียงลำพัง
ฟ้าสีทอง ศิษย์ซ้ออึ่ง นักชกกตัญญู ขอสู้เพื่อแม่
จะมีผู้หญิงสักกี่คนที่ชื่นชอบการชกมวยจนยึดถือเป็นอาชีพ แต่สำหรับ “ฟ้าสีทอง ศิษย์ซ้ออึ่ง” หรือ เจนจิรา แล้ว การขึ้นสังเวียนของเธอ ไม่ได้เกิดจากความชอบแต่เพียงอย่างเดียว เพราะนี่คือภาระหน้าที่ที่ “ลูก” ต้องทำเพื่อชีวิตของคนในครอบครัว
เด็กสาววัย 15 ปีคนนี้ อาศัยอยู่กับแม่เพียงลำพัง หลังจากพ่อทิ้งเธอไปแต่งงานใหม่ตั้งแต่เธออายุได้เพียง 9 ขวบ และเมื่อ พ่อไม่ค่อยจะส่งเงินมาให้ ก็ได้เวลาที่ “เจนจิรา” จะต้องดิ้นรนเพื่อช่วยแม่ ที่ป่วยด้วยโรคมะเร็งลำไส้จนไม่สามารถออกไปหาเลี้ยงครอบครัวได้ดังเดิม… ด้วยการฝึกซ้อมอย่างหนัก ทำให้ “เจนจิรา” กลายเป็นนักมวยหญิงที่ไร้เทียมทานกว่าใครในรุ่น และหาคู่ชกได้ยากลำบาก แต่เมื่อครูฝึกช่วยวิ่งเต้นหาคู่ชกชาวต่างประเทศให้ “เจนจิรา” ก็ได้โชว์ ฝีมือให้มวยไทยเป็นที่ประจักษ์ไปทั่วโลก ซึ่งนับตั้งแต่เธอก้าวเข้ามาใน วงการนักสู้ ทุกสังเวียนที่ “เจนจิรา” ก้าวข้ามเชือกเข้าไปบนผืนผ้าใบ ย่อมหมายถึง การต่อลมหายใจให้ผู้เป็นแม่ซึ่งเธอรักสุดหัวใจ ดังคำที่เธอมักจะพูดเสมอว่า สู้เพื่อแม่!!!
ก้าวต่อไป! ไคล์ เมย์นาร์ด ผู้ไม่ยอมแพ้…แม้กายพิการ
ไม่มีคำว่า “แพ้” สำหรับผู้ไม่เคยยอมแพ้ คำกล่าวนี้คงบ่งบอกถึงตัวตนและความคิดของ “ไคล์ เมย์นาร์ด” (Kyle Maynard) นักกีฬาผาดโผนชาวอเมริกันผู้พิการแขนขาตั้งแต่กำเนิด ได้ เป็นอย่างดี และที่สำคัญเรื่องราวชีวิตการต่อสู้กับความพิการแต่กำเนิดของเขา กลับกลายเป็นแรงบันดาลใจให้คนทั่วโลกที่กำลังสิ้นหวังได้
อาจ จะเป็นเพราะพื้นฐานของครอบครัว ได้สั่งสอนให้ ไคล์ เมย์นาร์ด หัดช่วยเหลือตัวเองตั้งแต่เด็ก ๆ เพื่อไม่ให้เขาเติบโตมาเป็นผู้ใหญ่ที่มีปมด้อย นั่นจึงทำให้ ไคล์ เมย์นาร์ด มองโลกในแง่ดีอยู่เสมอ และมั่นใจในตัวเองว่า “ไม่มีอะไรที่คนธรรมดาทำได้ แล้วเขาทำไม่ได้” ด้วย เหตุนี้ เขาจึงเล่นกีฬามวยปล้ำขึ้นสังเวียนสู้กับคนปกติได้อย่างสูสี แม้ในช่วงแรก ๆ เขาจะแพ้พ่ายเสียทุกครั้ง แต่เมื่อเขาฮึดสู้ฝึกฝนตัวเองอย่างเต็มที่แล้ว ในที่สุด เขาก็พบกับคำว่า “ชนะ” และเหตุการณ์วันนั้นก็ยังได้กลายเป็นแรงบันดาลใจให้เขาก้าวต่อไปข้างหน้าอีกด้วย
เรื่องราวของเขาถูกพูดถึงต่อ ๆ กัน และช่วยให้คนหลายต่อหลายคนที่เคยสิ้นหวังในชีวิตคิดฆ่าตัวตาย กลับมาสู้ใหม่อีกครั้ง นั่นจึงทำให้ “ไคล์ เมย์นาร์ด” ไม่รีรอที่จะใช้เรื่องราวของตัวเองสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้อื่น ดัง นั้น ทุกวันนี้ หนุ่มนักสู้คนนี้ จึงทำหน้าที่เป็นผู้เชี่ยวชาญพิเศษเรื่องการพูดจูงใจ และสร้างแรงบันดาลใจ โดยเดินสายไปพูดสร้างแรงบันดาลใจให้คนในทุกมุมโลกได้รับรู้ และมีกำลังใจสู้ชีวิตต่อไป เพียงแค่มองหาฝัน แรงปรารถนา และทำสิ่งเหล่านี้ให้เป็นจริง
โลกของ ตามี ชายชราผู้ร่ำรวยความสุข
“คน เราเกิดเป็นคน จะมาหยุดอยู่เฉย ๆ ไม่ได้ นั่นไม่ใช่คน ถ้าเป็นคนต้องทำงาน เกิดมาเพื่อทำงาน อยู่ได้ด้วยงาน” คำพูดของ ตามี คำหอมรื่น ชายชราร่างผอม วัย 88 ปี ที่อาศัยอยู่ในบ้านย่านบางบัวทองกับอีก 4 ชีวิต ประกอบไปด้วย ยายสำอาง วัย 76 ปี ภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากกว่า 40 ปี ที่ป่วยเป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงจนเดินไม่ได้มานานกว่า 5 ปีแล้ว ส่วนหัวเรือใหญ่ของบ้าน คือ “พี่อ้วน” ลูกสาวคนเล็กที่ทำงานเป็นผู้ช่วยเภสัชกรในโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง และหลานชายตัวเล็ก ๆ อีก 2 คน
เมื่อค่าครองชีพสูงขึ้น “ตามี” จึงไม่ปล่อยให้ลูกสาวออกไปหารายได้เพียงลำพัง ดัง นั้นแล้ว ในทุก ๆ เช้า ตามี จะเข็นรถเข็นเก่า ๆ คันหนึ่งออกจากบ้าน พร้อมกับพกบันไดส่วนตัวไปปีนข้ามรั้ว เพื่อจะลุยน้ำข้ามทุ่งเก็บผักมาขาย ซึ่งแม้ว่าเส้นทางที่จะเข้าไปนั้นดูลำบากไม่ใช่น้อยสำหรับชายชราวัย 88 ปี ที่สังขารเริ่มร่วงโรย แต่ตัวของ “ตามี” เอง ก็ไม่เคยเหนื่อย ไม่เคยท้อต่อชีวิต เพราะเชื่อว่า เทวดาคอยดูแลรักษาคนที่ทำดีอยู่เสมอ
และเมื่อกลับมาจากการเก็บผัก คุณตาก็ยังมียายสำอางค์ คู่ทุกข์คู่ยากรออยู่ที่บ้าน แม้ว่าคุณยายจะช่วยเหลือตัวเองไม่ค่อยได้ แต่ก็ยังมีคุณตาคอยดูแลให้ทุกอย่าง ทั้งทำความสะอาดร่างกาย พาเข้าห้องน้ำ ทำงานบ้านแทนคุณยาย ซึ่งก็สร้างความประทับใจให้คุณยายสำอางค์มาก แม้ว่าหลายต่อหลายครั้งที่คุณยายเคยคิดสั้น เพราะไม่อยากเป็นภาระให้คุณตา แต่สุดท้ายก็ได้คุณตาช่วยปลอบ ทำให้คลายความกังวลไปได้
ชายชรายอมรับว่า เคย “กลัวความจน” แต่ ณ วันนี้ คุณตาไม่คิดว่าตัวเอง “จน” อีกต่อไปแล้ว เพราะจากการที่เดินออกไปเก็บผักมาขายทุกวัน ก็ทำให้คุณตามีเงินสำรองเก็บไว้ใช้ในยามเดือดร้อน และคุณตาก็ไม่เคยคิดจะขี้เกียจ หรือหยุดทำงานเลย เพราะเชื่อว่าความขยันจะทำให้คนเราเจริญขึ้น ยิ่งทำก็ยิ่งพอกพูนขึ้นเรื่อย ๆ
“ความสุขของทุก ๆ วันในตอนนี้คือความสบายใจ แม้ว่าจะเหน็ดเหนื่อยสักแค่ไหน หรือถ้ามีความทุกข์ ก็แก้ทุกข์นั้นให้หายเสีย จะได้ไม่เหนื่อย เมื่อไม่เหนื่อยก็คือความเบา ความสบาย” คุณตามี ทิ้งท้ายด้วยน้ำเสียงและใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความสุขจริง ๆ
คุณแม่หัวใจแกร่ง ดูแลลูกป่วย 3 ชีวิตเพียงลำพัง
หากลูกสักคนที่ถือกำเนิดมาบนโลกใบนี้มีความผิดปกติไม่เหมือนคนทั่วไป ก็สร้างความทุกข์ระทมให้ผู้เป็นแม่ได้มากแล้ว แต่สำหรับ… ปู วาสนา เขียวราชา คุณแม่หัวใจเพชรคนนี้ เธอทุกข์ระทมกว่าคนอื่น ๆ หลายเท่า เมื่อลูก ๆ ทั้งสามคนที่เธอให้กำเนิดมากลับมีความผิดปกติทุกคน
“น้องพรีม” ลูกสาวคนโต แม้จะมีร่างกายแข็งแรง แต่จิตใจกับบอบช้ำจากประสบการณ์บางอย่างในอดีต ทำให้เธอกลายเป็นเด็กเก็บกด หวาดระแวง ไม่ชอบสุงสิงกับใคร ขณะที่ “น้องโม” ลูกสาวคนรอง นอกจากจะป่วยเป็นออทิสติกแล้ว ยังป่วยเป็นโรคภาวะปิดกั้นการนำไฟฟ้าในหัวใจชนิดรุนแรง ซึ่งจะทำให้หัวใจเต้นช้ากว่าคนทั่วไป และพร้อมที่จะหยุดเต้นได้ทุกเมื่อ ทุกวันนี้ ชีวิตของ “น้องโม” สามารถดำเนินต่อไปได้ด้วยแบตเตอรี่ที่ถูกฝังในร่างกาย และหากเมื่อใดที่แบตหมด นั่นหมายความว่า ผู้เป็นแม่ต้องหาเงินหลักแสนไว้ใช้เปลี่ยนแบตเตอรี่ เพื่อต่อชีวิตให้ลูกสาว ส่วน “น้อง วา” ลูกชายคนเล็ก นอกจากจะเป็นออทิสติกเหมือนพี่คนรองแล้ว ยังเป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง ที่ต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษเช่นกัน
เมื่อลูก ๆ ทั้งสามคน ป่วยด้วยอาการที่จำเป็นต้องเข้ารับการรักษาอย่างต่อเนื่อง ภาระหนักอึ้งทุกอย่างจึงตกมาอยู่กับ “แม่ปู” เพราะด้วยฐานะลูกจ้างชั่วคราวของสถานีอนามัยแห่งหนึ่งในจังหวัดตาก แน่นอนว่ามันไม่ได้สร้างรายได้ที่เพียงพอต่อการเลี้ยงดูลูก ๆ ทั้งสามชีวิต รวมทั้งพ่อและแม่ของเธอ ซึ่งป่วยเป็นโรคสารพัด เธอจึงต้องออกไปหารายได้เสริม ด้วยการทำงานทุกอย่างที่พอจะหาเงินมาจุนเจือครอบครัวได้ตั้งแต่เช้าจรดดึก ซึ่ง ในฐานะแม่เลี้ยงเดี่ยวที่ต้องดูแลลูก ๆ ทั้ง 3 คน อย่างตรากตรำ ก็ส่งผลให้เธอป่วยด้วยเช่นกัน เธอจึงหันมาใส่ใจสุขภาพตัวเองมากขึ้น แต่ไม่ใช่เพื่อตัวเอง แต่เพราะกลัวว่า หากเธอเป็นอะไรไป หรือล้มไปสักคน สี่ห้าชีวิตที่เหลือในครอบครัวคงไม่เหลือ
“บางครั้งก็ท้อ บางครั้งก็เครียด เคยมีเหมือนกันที่แวบขึ้นมาว่า อยากจะตายให้หมดทุกคน ทั้งตัวเอง และลูก แต่มีอยู่ครั้งนี้ที่ น้องโม ป่วยเป็นไข้สูง แล้วแกพูดขึ้นมาว่า แกไม่อยากตาย คำนี้คำเดียวเลย ทำให้เราคิดว่า ใครเขาก็รักชีวิตเขาทั้งนั้น แล้วเราเป็นแม่ เราจะไปทำอย่างนั้นได้อย่างไร หน้าที่ของแม่คืออะไร เราผ่านเรื่องร้าย ๆ มามากมายแล้ว ทำไมเราจะทนเรื่องแค่นี้ไม่ได้ พวกเขาคือกำลังใจหนึ่งของเรา ถ้าไม่มีเขาเราก็อยู่ไม่ได้” แม่ปู ระบายความอัดอั้นตันใจ
ไม่ว่าจะทุกข์ยาก เหนื่อยหนักสักแค่ไหน แต่สัญชาติญาณความเป็นแม่ของ “ปู วาสนา” ก็เป็นแรงผลักดันให้เธอฝ่าฟันอุปสรรคได้ทุกอย่าง ซ้ำยังทำหน้าที่แม่ผู้ให้ความรัก และความอบอุ่นกับลูก ๆ ได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง และนี่ก็คืออีกหนึ่งเรื่องราวชีวิตของผู้หญิงที่หัวใจเปี่ยมล้นด้วยคำว่า “แม่”
บิลลี่ หนุ่มกะเหรี่ยงยอดกตัญญู แห่งชุมชนคลิตี้
เมื่อชุมชนคลิตี้ล่าง ในอำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี ถูกคุกคามด้วยโรงแต่งแร่ วิถีชีวิตของชาวบ้านก็เปลี่ยนไป เช่นเดียวกับชีวิตของ “บิลลี่” ยุทธนา นาสวนบริสุทธิ์ หนุ่มน้อยชาวกะเหรี่ยง วัย 16 ปี ที่ต้องรับหน้าที่เป็นเสาหลักของครอบครัว หลังจากแม่ของเขาต้องอยู่ในโลกมืด และยายก็ล้มป่วยลง อันเป็นผลจากการได้รับสารตะกั่วที่มากเกินไปจากเหมืองคลิตี้ ซึ่งไม่ต่างจากชาวบ้านคนอื่น ๆ ที่เริ่มมีอาการทางสุขภาพ หลังจากเหมืองแห่งนี้เข้ามารุกรานเช่นกัน
จากผลกระทบดังกล่าวไม่เพียงแต่ทำให้แม่ของบิลลี่ตาบอดเท่านั้น แต่ยังทิ้งภาระการดูแลครอบครัวอันหนักอึ้งให้กับเขาอีกด้วย โดยทุก ๆ วัน เขาต้องตื่นเช้ามาหุงหาอาหาร ก็คือข้าวตำกับพริก ให้กับคนในครอบครัวกิน รวมถึงหาเลี้ยงครอบครัวโดยการรับจ้างทำนา ซึ่งต้องเดินทางไปไกลถึง 9 กิโลเมตร ข้ามภูเขา และป่าดงดิบ แต่แม้ทางจะไกลและยากลำบากสักแค่ไหน แต่ ก็ไม่เป็นอุปสรรคที่ทำให้บิลลี่ย่อท้อเลยแม้แต่น้อย เพราะเขาระลึกเสมอว่า การทำนาเป็นสิ่งเดียวที่จะทำให้ครอบครัวของเขาสี่ชีวิต ตัวเขา…แม่…ยาย และน้อง มีข้าวกินในปีต่อไป
อย่างไรก็ตาม บิลลี่ ยังได้รับน้ำใจจากผู้คนในหมู่บ้าน ที่ให้หยิบยืมข้าวมากินก่อนได้ หากปีไหนสภาพดินฟ้าอากาศไม่เอื้ออำนวยต่อผลผลิต และหากมีข้าวแล้วค่อยมาใช้คืน ซึ่งทำให้ชีวิตของครอบครัวบิลลี่ไม่ยากลำบากจนเกินไปนัก และด้วยจิตใจที่เข้มแข็งและสู้งานของบิลลี่ ก็ทำให้ชีวิตของหนุ่มน้อยชาวกะเหรี่ยงคนนี้ยังพบกับความสุขได้
น้ำตานาเช่า…ของชาวนาผู้ (ยังไม่) สิ้นหวัง
ยุติธรรม หรือไม่…ที่อาชีพชาวนาซึ่งปลูกข้าวเลี้ยงคนหลายสิบล้านชีวิต กลับกลายเป็นอาชีพหนึ่งที่ประสบกับความยากจน และถูกกดขี่ข่มเหงมากที่สุด
เป็นเวลากว่า 30 ปีแล้วที่ “อาภากร พรหมศาสตร์” หนุ่มใหญ่วัย 45 ปี ยืนหยัดทำหน้าที่ “หลังสู้ฟ้า หน้าสู้ดิน” บนผืนนาเช่ากว่า 40 ไร่ ณ บ้านโคกแดง ตำบลโคกตูม อำเภอหนองแค จังหวัดสระบุรี แต่แล้ววันหนึ่งอาชีพที่เขารักกลับสั่นคลอน เมื่อเจ้าของนาเช่าขายที่ดินแห่งนี้ให้กับนายทุนเพื่อก่อสร้าง แปรเปลี่ยนผืนนาสีเขียวที่ข้าวกำลังจะออกรวงให้กลายเป็นที่ดินเปล่า ๆ และมีสังกะสีกั้นขอบเขต
ภาระหนักจึงตกอยู่กับ “อาภากร” ที่ถูกไล่ที่ทั้ง ๆ ที่ยังมีสัญญาเช่านาอยู่ เขาตัดสินขอรับความช่วยเหลือจากคณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร ตำบล (คชก.ตำบล) ทันที เพื่อทวงเอาผืนนาที่เขาเช่ากลับคืนมา…แต่ดูเหมือนว่าเรื่องจะเงียบหายไป ตามสายลม เมื่อ “อาภากร” เห็นว่าหนทางข้างหน้าดูริบหรี่นัก เขาจึงตัดสินใจขับรถไปตระเวนถามหาเช่านาตามพื้นที่ต่าง ๆ เพื่อรับจ้างทำนา แต่หนทางก็มืดมนไม่แพ้กัน นั่นเพราะทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “จะเอานาที่ไหนมาให้ทำ” เพราะหลังจากนายทุนเข้ามากว้านซื้อที่ไปสร้างโรงงานเสียเกือบหมด ทุกวันนี้แทบจะไม่เหลือนาไว้ทำนาอีกแล้ว ส่วนผืนดินที่ว่างเปล่าก็มีคนรวยเข้าจับจองเป็นเจ้าของกันหมดแล้ว
สุด ท้ายแล้ว ความหวังเดียวของอาภากร ก็คือการเดินหน้าต่อสู้เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรม จากสิทธิการเช่านาที่เขามีอยู่ ซึ่งแม้ความหวังจะเลือนรางเหลือเกิน และ ไม่รู้ว่าตัวเองจะได้รับความเป็นธรรมนั้นหรือไม่ แต่นี่ก็เป็นเพียงหนทางเดียวที่จะสามารถประคับประคองชีวิตครอบครัวกระดูก สันหลังของชาติให้ดำเนินต่อไป
หนุ่มจีนแขนด้วน ปลุกคนทุกข์ให้สู้ชีวิต
แม้ว่า “เกาอี้ป๋อ” อดีตพ่อครัวชาวกว่างโจว จะประสบอุบัติเหตุจากเหตุการณ์แก๊สระเบิดจนแขนพิการไปเมื่อหลายปีก่อน แต่ในเมื่อสองเท้ายังอยู่ ชีวิตของอดีตพ่อครัวคนนี้จึงยังเดินหน้าต่อไป
ความทุกข์ยากจากการที่ใช้สองมือไม่ได้ของ “เกาอี้ป๋อ” แม้ว่าจะทำให้เขาลำบากในช่วงแรก แต่ เมื่อตั้งสติได้ เขาก็ไม่ยอมปล่อยให้ตัวเองกลายเป็นภาระของสังคม และไม่ขอยอมแพ้ต่อโชคชะตาชีวิต จึงตัดสินใจลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่างเพื่อเป็นประโยชน์ต่อสังคม และสิ่งนั้นก็คือ การให้กำลังใจผู้อื่น
“ตอนที่ผมถูกระเบิดสูญเสียแขนทั้งสองข้าง ผมเคยคิดจะฆ่าตัวตาย แต่เพื่อน ๆ ก็มาห้ามไว้ ต่อมาผมก็คิดได้ว่า ผมมีหน้าที่ที่จะต้องแบ่งปันความหวัง และสอนคนอื่น ๆ ให้รักชีวิตของตัวเอง ดังนั้น หลังจากผมประสบอุบัติเหตุ ผมก็เริ่มเรียนศิลปะการคัดลายมือแบบจีนโบราณ เพื่อเขียนข้อความให้กำลังใจผู้อื่น แม้ว่าผมจะไม่มีมือ แต่ผมก็มีความสุขที่ได้ทำ ด้วยการใช้เพียงเท้า และปาก ดูเหมือนว่าคนจะชอบงานของผมด้วย” หนุ่มเกาอี้ป๋อบอก
ทั้งนี้ หนุ่มเกาอี้ป๋อกำลังดังสุด ๆ เพราะเขาถูกขอให้ไปแสดงศิลปะการคัดลายมือให้คนกลุ่มใหญ่ได้ชมมาแล้ว และเงินที่เขาได้รับจากการแสดงครั้งนั้น เขาก็ไม่ได้เก็บไว้ใช้เอง แต่นำไปซื้ออาหาร และของขวัญมอบให้กับกลุ่มคนที่จนที่สุดของสังคมอีกด้วย โดยหนุ่มพิการน้ำใจงามคนนี้บอกว่า เขาเองต้องการเพียงแค่ได้กินอิ่ม มีที่นอนหลับ และได้ช่วยเหลือผู้อื่น แค่นี้ก็มีความสุขแล้ว
น้ำตาซึม! เด็กสาวหัวใจเพชร สู้งานหนักเลี้ยงพ่อแม่น้องป่วย
เพราะพ่อประสบอุบัติเหตุจนเดินไม่ได้ ส่วนแม่ก็เป็นโรคเกี่ยวกับระบบประสาท แถมน้องชายยังป่วยด้วยโรคหัวใจตั้งแต่กำเนิด “เหอผิง” เด็กสาววัย 20 ปี ที่เป็นลูกสาวคนโตของครอบครัวนี้ จึงต้องทำงานหนักตั้งแต่อายุเพียง 5 ขวบ เพื่อเลี้ยงดูทั้งสามชีวิต
ใครจะเชื่อว่า “เหอผิง” เมื่อตอนอายุ 5 ขวบ เธอต้องออกไปหางานพิเศษทำ เพื่อหาเงินมาจ่ายค่าเล่าเรียน จากนั้น เมื่อ อายุได้ 17 ปี พ่อของเธอกลับป่วยมีอาการเลือดออกในสมอง “เหอผิง” ต้องพักการเรียนชั่วคราว เพื่อออกมาเรี่ยไรเงินบริจาคจากองค์กรการกุศลของรัฐไปเป็นค่ารักษาพยาบาลให้ พ่อ และปลอบใจพ่อในวันที่กำลังท้อแท้และร้องไห้ว่า ชีวิตยังมีความหวังต้องสู้ต่อไป
และเมื่อเหอผิงสามารถสอบเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยได้ แต่สถานที่เรียนอยู่ห่างไกลจากบ้านมาก เธอตัดสินใจพาน้องชายไปอยู่ด้วยกัน เพื่อดูแลอย่างใกล้ชิด ด้วยความเป็นห่วง และยังรับภาระทำงานพิเศษตั้งแต่เช้ายันตีหนึ่ง รวมถึงรับจ้างทำความสะอาด ตึกเรียนช่วงพักกลางวัน รับจ้างสอนพิเศษ เป็นเด็กเสิร์ฟ ล้างจาน ฯลฯ เพื่อหารายได้มาดูแลน้องชาย และส่งเงินกลับไปให้พ่อแม่ที่บ้านทุก ๆ เดือน
ยิ่งกว่านั้น เธอยังแบ่งปันน้ำใจอันงดงามของเธอให้กับผู้คนในสังคมที่ประสบกับชีวิตที่ยากลำบาก อย่างเช่น เมื่อ เธอได้อ่านหนังสือพิมพ์แล้วเจอข่าวเด็กนักเรียนชั้นมัธยมคนหนึ่งประกาศขอรับ บริจาคเงินกว่าแสนหยวน เพื่อช่วยให้มารดาของเขาเข้ารับการผ่าตัด ครั้งนั้น “เห อผิง” ไม่รอช้า เธอตัดสินใจบริจาคเงินจำนวน 1,600 หยวน จากที่เธอมีเก็บอยู่เพียง 3,000 หยวน ให้กับเด็กหนุ่มคนดังกล่าวเพื่อสมทบทุนค่ารักษาพยาบาลทันที และเมื่อเด็กหนุ่มทราบว่า พี่สาวที่บริจาคเงินให้เธอนั้นเป็นคนที่มีฐานะยากจนกว่าเขาเสียอีก เด็กหนุ่มจึงได้ลงประกาศขอบคุณ “เหอผิง” ผ่านทางหนังสือพิมพ์ที่ “เหอผิง” อ่านเจอข่าวของเขา
“เหอผิง” บอกว่า ที่ เธอบริจาคเงินให้เด็กหนุ่ม เพราะรู้ดีว่าเขากำลังต้องการความช่วยเหลือ ดังเช่นในยามที่เธอลำบาก เธอก็ได้น้ำใจจากผู้อื่นที่หยิบยื่นมาให้เธอเช่นกัน เธอจึงมองว่า หากทุกคนในสังคมมีความรักและเมตตาต่อกัน สังคมนี้ก็จะเปลี่ยนไปเป็นสังคมที่มีแต่ความดีงาม
ได้อ่าน เรื่องราวดี ๆ ของคนหัวใจแกร่งบนโลกใบนี้แล้ว เห็นแล้วใช่ไหมว่า มนุษย์ทุกคนถูกสร้างขึ้นมาให้พบกับ “อุปสรรค” ขึ้นอยู่กับว่า เราจะมอง “อุปสรรค” ที่ขวางอยู่ตรงหน้านั้น หนักดุจดังขุนเขา หรือเบาดังปุยนุ่น หากเราดึงเอา “อุปสรรค” นั้นมาเป็นพลังให้เราก้าวเดินต่อไป คงจะไม่มีคำว่า “สายเกินไป” ในการเดินต่อไปข้างหน้า เพราะมันคงจะมีแต่คำว่า “สู้ต่อไป” เพื่อความสำเร็จที่รออยู่ ณ เส้นชัย
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก ทีวีบูรพา , ไทยพีบีเอส , รายการคนค้นฅน , คุณหนูน้อยAเซอร์ , รายการ Thailand’s Got Talent , phichittv.com , ยูทูบ โดยคุณ ladyEdnaMode , ยูทูบ โดยคุณ TheGuardianAngle1 , austriantimes.at , v.youku.com