เมื่อพูดถึงงานอาสาสมัคร หลายคนที่ไม่เคยลองอาจมีคำถามว่า “อุทิศตนทำเพื่อผู้อื่น แล้วตัวเองจะได้อะไร” ฉบับนี้มีคำตอบจากผู้อุทิศตนเพื่องานอาสา “ตัวจริง” มายืนยันการันตีสรรพคุณของยาวิเศษขนานนี้
การเป็น “ผู้ให้” คือความสุขแบบใหม่ของชีวิต
เดิมที ชิว สู เฟิน อาสาสมัครชาวไต้หวัน (เธอมีชื่อไทยว่าเมตตา) เคยฟุ้งเฟ้อในวัตถุจนคิดว่า ความสุขคือการได้สวมสร้อยเพชรเม็ดโตกว่าใคร แต่ในวันนี้เมื่อมีโอกาสได้เรียนรู้การเป็นอาสาสมัคร มูลนิธิฉือจี้ แล้ว นอกจากสร้อยเพชรจะไม่ปรากฏบนเรือนกาย ความสุขของเธอก็เปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน
“เมื่อก่อนนี้ดิฉันซื้อเสื้อผ้าที่ฝรั่งเศส ซื้อกระเป๋าที่ฮ่องกง แล้วก็คิดว่านั่นคือความสุข ดิฉันร้อนใจทุกครั้งที่เห็นคนอื่นใส่เพชรเม็ดใหญ่กว่า แต่หลังจากที่ได้รู้จักและทำงานเป็นอาสาสมัครมูลนิธิฉือจี้ ดิฉันได้พบกับความทุกข์ของผู้อื่น ได้เดินบนเส้นทางของพระโพธิสัตว์คือเป็นผู้ให้อย่างแท้จริง ให้ทั้งเวลา แรงกาย แรงทรัพย์ ตลอดจนให้ความเป็นตัวเรา ดิฉันสามารถนวดศีรษะให้ผู้ป่วยที่ไม่ได้สระผมโดยไม่นึกรังเกียจ เพื่อทำให้เขาคลายทุกข์ได้ ดิฉันมีความสุขเหลือเกิน นอกจากนี้ดิฉันยังได้ช่วยทำความสะอาดบ้านคนป่วย ช่วยอาบน้ำให้คนวิกลจริตด้วย
“ที่สำคัญ งานอาสาสมัครที่ฉือจี้สอนให้ อ่อนน้อมถ่อมตน แม้จะอยู่ในฐานะผู้ให้ก็ไม่ถือตนว่าเหนือกว่า หนำซ้ำยังต้องขอบคุณคนที่เราช่วยเหลือ เพราะเขาคือคนที่เปิดโอกาสให้เราได้รู้จักความสุขที่เกิดจากการให้
“ทุกวันนี้ดิฉันใช้ชีวิตแบบกินง่ายอยู่ง่าย ไม่ต้องใส่เครื่องเพชรแล้วกลัวว่าจะถูกปล้น เมื่อไม่ต้องวิ่งไล่ตามความสุขที่เกิดจากวัตถุเงินทอง ดิฉันก็มีเวลาทำประโยชน์ให้ผู้อื่นมากขึ้น
จิตอาสา เปลี่ยนสายตาของสังคม
ท่ามกลางข่าวทะเลาะวิวาทของนักเรียนช่างกล อาจกล่าวได้ว่า แมน- เกียรติศักดิ์ สีอ่อน นักศึกษาชั้นปีที่ ๓ คณะวิศวกรรมศาสตร์และสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออกวิทยาเขตอุเทนถวาย คือ “ปลาดี” ตัวหนึ่งที่ถูกเหมารวมว่าเป็น “ปลาเน่า” ไปด้วย แต่แทนที่จะหันมาคว้าอาวุธห้ำหั่นคู่อริ แมนและเพื่อนๆ บอกว่าสู้หันมาคว้าจอบ เสียม และเกรียงไม้ แล้วไปออกค่ายอาสาพัฒนาชนบทดีกว่า
“นอกจากการออกค่ายจะเป็นการทำประโยชน์เพื่อสังคมแล้ว การไปสร้างห้องสมุดหรือโรงอาหารให้โรงเรียนที่ขาดแคลน นอนฟังเสียงโม่ปูนแทนเสียงเพลงร็อค สิ่งที่เราได้กลับมาไม่ใช่เพียงอาคารขนาด 6/12 เมตร แต่เหนือกว่านั้นคือ เรายังได้ยินประโยคที่ว่า “นี่น่ะหรือนักศึกษาอุเทนถวายที่มีข่าวตีกันบ่อยๆ คนละเรื่องกับในข่าวเลยนะ ตัวจริงของเด็กพวกนี้เป็นเด็กดี อารมณ์ดี ร่าเริง ไม่เห็นจะก้าวร้าวอย่างในข่าวเลย”
“ประโยคเหล่านี้ทำให้พวกเราคลายความรู้สึกกดดันลงได้มาก งานอาสาคือกิจกรรมที่ช่วยเปลี่ยนทัศนคติเชิงลบที่ผู้คนมีต่อพวกเรา และทำให้ตระหนักว่า การทำความดีสามารถทลายกำแพงที่สังคมสร้างมาขวางกั้นพวกเราได้
ผู้ให้ย่อมถือไพ่เหนือกว่า
คุณสุวรรณา พลอยสุทธิ เดิมเธอคืออาสาสมัคร แต่ปัจจุบันเธอขยับมาเป็นตัวตั้งตัวตีในการทำงานอาสาเสียเอง ล่าสุดเธอและเพื่อนกำลังถักหมวกไหมพรมเพื่อถวายพระ และเพื่อเตรียมไว้แจกจ่ายเด็กๆ ในภาคเหนือและภาคอีสาน พวกเขาจะได้มีเครื่องมือสู่ลมหนาวที่กำลังจะมาเยือน ด้วยความที่เห็นคุณค่าของงานอาสาสมัครมาโดยตลอด ทุกครั้งที่ไหว้พระ คุณสุวรรณาจึงตั้งจิตอธิษฐานว่า ขอเป็นผู้ให้ไปตลอดชีวิต
“การทำงานอาสาสมัครอันดับแรกเราต้องรู้จักเป็นผู้ให้ก่อน ซึ่งเอาเข้าจริงแล้วเราให้ไปนิดเดียว แต่เราได้รับกลับมามหาศาล ดิฉันเคยอาสาไปสอนเด็กในหมู่บ้าน และทำตุ๊กตาหุ่นมือเพื่อใช้สอนเขาแค่แป๊บเดียว แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาคือ ได้เรียนรู้ภูมิปัญญาชาวบ้าน ได้เปิดโลกทัศน์และเห็นแง่มุมใหม่ๆ ทุกชีวิตที่พบเจอไม่ว่าลูกเด็กเล็กแดงหรือผู้เฒ่าผู้แก่ แต่ละคนเป็นครูแห่งชีวิตของเราทั้งสิ้น
“ทุกครั้งที่ขอพรจากคุณพระคุณเจ้า ดิฉันจะขออธิษฐานขอให้ตัวเองได้เป็นผู้ให้ไปตลอดกาล ที่อธิษฐานอย่างนี้เพราะดิฉันคิดว่า คนเราจะเป็นผู้ให้ได้ก็ต่อเมื่อเราเป็นผู้มี เสียก่อน คำว่า “มี” ในที่นี้มิได้เจาะจงถึงสิ่งของเงินทอง แต่ละคนเป็นครูแห่งชีวิตของเราทั้งสิ้น
“ทุกครั้งที่ขอพรจากคุณพระคุณเจ้า ดิฉันจะอธิษฐานของให้ตัวเองได้เป็นผู้ให้ไปตลอดกาล ที่อธิษฐานอย่างนี้เพราะดิฉันคิดว่า คนเราจะเป็นผู้ให้ได้ก็ต่อเมื่อเราเป็นผู้มีเสียก่อน คำว่า “มี” ในที่นี้มิได้เจาะจงถึงสิ่งของเงินทอง แต่ยังหมายถึงว่าเรามีความสุขและความรักด้วย
“ดิฉันมองว่าคนเราจะเป็นผู้รับได้ก็ต่อเมื่อมีคนมาให้อะไรแก่เราเท่านั้น ในทางกลับกัน โอกาสแห่งการเป็นผู้ให้นั้นเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา เราจะเป็นผู้ให้เมื่อไรก็ได้ คุณลองหันไปยิ้มให้คนข้างๆเดี๋ยวนี้ คุณก็เป็นผู้ให้ได้ทันทีทันใด เห็นไหมล่ะว่าเป็นผู้ให้ถือไพ่เหนือกว่าจริงๆ”