มีคนบอกฉันว่า คนเล็กๆ เปลี่ยนแปลงโลกได้ หากพวกเขามีใจที่จะทำเรื่องดีๆ ให้สังคม โดยไม่เอาเงินและเกียรติยศเป็นตัวตั้ง ฉัน เคยเห็นคนเล็กๆ มากมายมีจิตอาสาทำเพื่อผู้อื่น และทำไปเรื่อยๆ จนกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิต พวกเขาไม่ได้คิดว่า เรื่องที่ทำยิ่งใหญ่อะไรนักหนา แต่เป็นสิ่งที่มนุษย์ควรกระทำ

ฉันเชื่อว่า คนทุกคนเปลี่ยนแปลงโลกได้ โดยไม่ต้องรอว่า ต้องมีเงินเท่านั้น เท่านี้ ต้องอยู่ในตำแหน่งนั้นก่อน ต้องมีอำนาจเพื่อจะสั่งการ ทำไมฉันคิดเช่นนั้น…

ถ้าจะเอาประสบการณ์อันน้อยนิดของตัวเองมาบอกเล่าในพื้นที่เล็กๆ ตรงนี้ ด้วยหน้าที่การงานมีโอกาสคุยกับคนทุกระดับชั้นในสังคม ตั้งแต่คนเก็บขยะไปจนถึงนักคิด และนักบริหารที่มีเงินทองมากมาย

และเคยมีคนติฉันว่า คุณเอาอะไรมาจัดชนชั้นของคนในสังคม…คุณวัดจากความรู้ทางโลก เงินและตำแหน่งหน้าที่การงาน แล้วมาแบ่งคนว่า ชนชั้นกลาง ชนชั้นล่าง หรือบางทีก็เรียกว่า ระดับ A , B และ C สิ่งที่ฉันพยายามมองลงไปลึกๆ คือ ความเป็นมนุษย์ของพวกเขา การปฏิสัมพันธ์ที่พวกเขามีต่อโลกและคนรอบข้าง

เมื่อเร็วๆ นี้เพื่อนที่ทำทีวีมาโอดครวญว่า ฉันอยากได้คนที่พูดได้จี๊ดๆ แบบถึงใจและออกมาจากจิตวิญญาณจริงๆ เพื่อให้คำพูดเหล่านั้นเป็นแรงบันดาลใจให้คนได้คิดและทบทวนชีวิต
ฉันใช้เวลานั่งทบทวน นึกถึงคนที่เคยคุยด้วยหลายคนในชีวิต บางคนเคยทำให้ฉันเดินออกมาด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข ไม่น่าเชื่อว่า เขาจะทำให้คนที่ไม่เคยรู้จักกันเลยและนั่งคุยกันไม่กี่ชั่วโมง มีความสุขและรื่นรมย์ได้ในวันนั้น..นั่นไง เขาได้เปลี่ยนแปลงให้โลกของอีกคนให้มีความสุขได้อย่างน่ามหัศจรรย์…

… แล้วคนเล็กๆ เปลี่ยนแปลงโลกได้จริงหรือ …

จำได้ว่า ตอนที่ฉันคุยกับอาจารย์ยงยุทธ จรรยารักษ์ ภาควิชาพฤกษศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ แม้อาจารย์จะเกษียณอายุแล้ว แต่ก็ยังคงสอนหนังสือในบางวิชาและเป็นวิทยากรท่องเที่ยวที่รู้จักหยิบเกร็ด เล็กเกร็ดน้อยเรื่องราวธรรมชาติ วัฒนธรรมและชีวิตมาเล่าได้อย่างน่าสนใจ จนผู้ร่วมทริปติดอกติดใจอยากเดินทางกับอาจารย์อยู่เรื่อยๆ

อาจารย์ทำให้เห็นว่า โลกงดงามได้ด้วยวิธีง่ายๆ พื้นที่ริมทางใกล้ห้องพักอาจารย์เป็นสวนป่าเล็กๆ ที่ไม่ต้องดูแลมาก เพราะอาจารย์โยนเมล็ดนั่นเมล็ดนี่ หรือไม่ก็เมล็ดพันธุ์ปลิวมาตกแล้วงอกเอง โดยไม่จำเป็นต้องตกแต่งเป็นสวนสวยๆ  ปล่อยให้ธรรมชาติจัดสรร แค่นี้คนที่เดินผ่านหรือนั่งอยู่ในสวนเล็กที่ไม่มีรูปแบบ ก็รื่นรมย์ได้แล้ว

วกกลับมาที่คนเล็กๆ อีกคนที่ฉันมีโอกาสนั่งฟังเรื่องราวของเธอ แม่ติ๋ว-สุธาสินี น้อยอินทร์แห่งบ้านโฮมฮัก ยโสธร ได้ฟังเรื่องราวจากปากของเธอ ทำให้เห็นพลังของคนเล็กๆ แต่ใจใหญ่ คนในวงถึงกับบอกว่า แม่ต้อยในทีวีดูติงต๊องไปหน่อย

ชีวิตแม่ติ๋วมีแค่เงินประทังชีวิตและบางครั้งไม่มี แต่มีพลังใจอยากช่วยเหลือเด็กติดเชื้อหรือเด็กป่วยระยะสุดท้ายโดยไม่นึกถึง ตัวเอง เธอค่อยๆ สร้างโฮมฮักทีละเล็กละน้อยจนเป็นรูปเป็นร่าง กลายเป็นที่พักพิงกายและใจของคนที่หมดหนทางที่สังคมไม่ยอมรับ

นี่คงจะเป็นบทพิสูจน์อย่างหนึ่งว่า แม้เงินจะเป็นปัจจัยหลักในการช่วยเหลือผู้อื่น แต่ไม่ใช่ทั้งหมด

อีกเรื่องที่อยากเล่าให้ฟังคือ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ฉันได้แวะไปหาเพื่อนกลุ่มเล็กๆ อยากสร้างความรื่นรมย์ให้กับผู้ป่วยในโรงพยาบาล และเป็นโอกาสที่พยาบาลโรงพยาบาลพระมงกุฎฯ  เปิดทางให้ทุนเล็กน้อย เพื่อนำภาพทิวทัศน์ของเพื่อนช่างภาพไปใส่กรอบ

ตอนนั้นเธอแค่คิดว่า ไม่อยากให้คนป่วยระยะสุดท้ายนอนดูแค่โปสเตอร์ยุงลาย อยากให้คนป่วยเห็นภาพสวยๆ ชีวิตจะได้รื่นรมย์ขึ้นบ้าง โดยภาพถ่ายเหล่านั้นเธอยินดีให้โดยไม่คิดมูลค่าใดๆ

เพื่อนๆ ในกลุ่มสื่อสร้างสรรค์ก็เลยมาช่วยกันเอารูปไปใส่กรอบและนำมาติดในโรงพยาบาล ช่วยกันหาหนังสือธรรมะมาวางบนชั้นหนังสือ ทำให้ห้องโถงในโรงพยาบาลรัฐดูดีขึ้น พวกเขายังมีความคิดอีกว่า อยากทำกิจกรรมรูปแบบนี้ให้โรงพยาบาลอื่นๆ โดยไม่คิดมูลค่าใดๆ

แต่เป็นจิตอาสาอยากเห็นโลกดูงดงาม แม้จะไม่มีเงินสักบาท แต่มีแรงใจแรงกาย อยากสร้างสรรค์เรื่องดีๆ ให้สังคม

ประมาณว่า ค่อยๆ ทำ แล้วคนก็จะเห็นพลังเล็กๆ ที่ทำด้วยใจ ไม่ต่างจากสวนป่าเล็กๆ ของอาจารย์ยงยุทธ โฮมฮักจากแรงกายและใจของแม่ติ๋ว

 

Credit : http://www.bangkokbiznews.com/