กลับไปสู่แผ่นดินของตนเอง คือ อุดมการณ์ของข้าพเจ้า !
เขียนโดย ดรุณี หล้าคูณ
“การเปลี่ยนแปลงทั้งภายในและภายนอกใน ระยะ เวลา 1 ปี 6 เดือนกับการเป็นอาสาสมัคร ทำให้ข้าพเจ้าได้เรียนรู้ คำว่า “พัฒนา” ได้ชัดแจ้งยิ่งขึ้น สามารถตอบคำถามของตนเองได้อย่างเต็มปากว่าชีวิตมีทางเลือกอย่างแท้จริง..”
บทเรียนการทำงาน 1 ปี 6 เดือน ของดรุณี หล้าคูณ ในบทบาทอาสาสมัครรุ่น 28 ประจำโรงเรียนตื่นรู้ อาศรมพลังงาน
๑ อุดมการณ์ของฉัน มันคือ อุดมการณ์ของคนอื่น
ชีวิตและการทำงานในอาศรมพลังงานเป็นไป อย่าง ปกติ ในระยะเวลา 1 ปีกับอีก 6 เดือนของการเป็นอาสาสมัคร เป้าหมายของการมีชีวิตเริ่มชัดแจ้ง !
ท่ามกลางขุนเขา ต้นไม้ อากาศ แสงแดดของเขาใหญ่ ทำให้บรรยากาศการทำงานเป็นเหมือนการใช้ชีวิตประจำวัน ฉะนั้นความเฉื่อย ความเบื่อหน่าย เหม่อลอย ย่อมมาเยี่ยมเยียนเป็นธรรมดา ชีวิตในอาศรมพลังงานเหมือนการทำงานคือการใช้ชีวิต มันเริ่มแยกออกจากกันไม่ได้ แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาที่จะทำให้เป้าประสงค์ขององค์กร หรือแม้แต่ตัวเองเปลี่ยนแปลงไปใดๆ ทั้งสิ้น เพราะนี่คือสิ่งที่เราเป็น
เช้าตีห้า(ตามปัจจัย) สวดมนต์ เจริญสติ โยคะ เข้าครัว จุดเตา เติมพลังงาน มอบหมาย แยกย้าย ปฏิบัติ พูดคุย หัวเราะ นินทา คอมพิวเตอร์ ต้อนรับ สงสัย หงุดหงิด ไม่พอใจ พอใจ ศึกษา น้อยใจ ท้อ เบื่อหน่าย นำเสนอ เอือมระอา จำเจ เที่ยงวัน ฝึกฝน เข้าครัว เติมพลังงาน แยกย้ายตามภาระ พัก เยี่ยมเยียน ร่วมแรง ช่วยเหลือ คน ย่ำค่ำ เข้าครัว สรรหา สวดมนต์ไหว้ แจกแจงพูดคุยแลกเปลี่ยน คน ขี้เกียจ ไม่ต้องการ เร่งรีบ คึกคัก เห็นด้วย วุ่นวาย กลับบ้าน ทีวี เสียง สนุกสนาน ดึกดื่น เข้านอน เช้าตีห้า(ตามปัจจัย)… นี่คือกิจวัตรของชาวอาศรมพลังงาน ชุมชนน้อยๆ ที่พยายามนำเสนอวิถีชีวิตอีกรูปแบบ เพื่อค้นหาความปกติของชีวิต ด้วยการหันเข้าหาพึ่งพาธรรมชาติอย่างเป็นมิตร
อาจกล่าวได้ว่า คำว่า “อาสาสมัคร” ไม่มีความหมายหรือไร้ซึ่งตัวตนสำหรับที่นี่ เพราะทุกชีวิตดำเนินไปตามหน้าที่ ตามความถนัด ความพอใจ สร้างสรรค์งาน เผยแพร่พร้อมๆ กับการดำเนินชีวิตและพัฒนาตนเอง เตรียมรับวิกฤตที่จะเกิดขึ้น
เป้าหมายของการเป็นอาสาสมัครของข้าพเจ้าได้เปลี่ยนแปลงแล้ว จากวันนั้น…
จากวันที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความใฝ่ฝันจะ ช่วย เปลี่ยนแปลง แก้ไข สิ่งที่เป็นปัญหา สิ่งที่สร้างความทุกข์ให้กับผู้คนในสังคม อยากลิ้มลองกับสิ่งที่เรียกว่า อุดมการณ์ เพราะเชื่อว่าสิ่งนี้จะทำให้เรามีชีวิตอยู่ได้บนโลกนี้ได้ดี ณ วันนี้ พบว่าสิ่งที่เชื่อว่า อุดมการณ์ของฉัน มันคือ อุดมการณ์ของคนอื่น และยอมรับว่า สิ่งเหล่านั้นมันอาจจะไม่ได้ทำให้ชีวิตบนโลกนี้เป็นไปได้ด้วยดีอย่างที่คาด และไม่อาจจะช่วยเหลือใครได้เลย ในเมื่อตัวเราเองยังทุกข์กับสิ่งที่เป็นอยู่
จากสิ่งที่สั่งสมมา ก่อตัวเป็นความเชื่อที่เรายึดมั่นได้เปลี่ยนแปลงไป การเรียนรู้สิ่งใหม่ย่อมเกิดขึ้นมาแทนที่ ความอยากทั้งหลายกลายเป็นความไร้ค่า ช่วยเหลือ ส่งเสริม แนะนำ โน้มน้าว เชื้อเชิญคนอื่นให้เชื่อ กลายเป็นเรื่องไร้ค่าเช่นเดียวกัน ในเมื่อตัวเราเองยังรู้สึกอึดอัด รู้สึกขัดเคือง ปฏิเสธอยู่ทุกชั่วขณะกับทางออกของปัญหา
๒ งานพัฒนา คือ เข้าใจตัวเองให้มาก แล้วสร้างการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นจริง
ชีวิตในมหาวิทยาลัยเป็นชีวิตที่เต็มไป ด้วย ความใฝ่ฝัน ความเชื่อมั่น ค่านิยม อย่างเช่นการเรียนถ่ายภาพที่ข้าพเจ้าใฝ่ฝัน พึงพอใจและหมายมั่นว่ามันจะทำให้ชีวิตสมบรู ณ์ แต่เมื่อรู้สึกตัวขึ้น มันกลับกลายเป็นเรื่องที่แสนห่างไกลกับสิ่งที่เป็นอยู่ การพยายามขวนขวายหาพื้นที่ในการมีชีวิตในผืนแผ่นดินของคนอื่น บางครั้งเป็นการทำลายแผ่นดินของเราไปพร้อมกัน สุดท้ายแล้วสิ่งที่ขวนขวายนั้นก็ไม่ใช่สิ่งที่เหมาะสมสำหรับชีวิต
เฉกเช่นงานพัฒนาในมุมมองของข้าพเจ้า การสร้างความเปลี่ยนแปลงจะเป็นไปตามจริตของแต่ละคน งานร้อน งานเย็น แนวคิดของการพัฒนาจะแปรเปลี่ยนไปตามระยะการเข้าถึงของแต่ละคน ตามเหตุการณ์ ตามปัจจัย ตามยุคสมัย สำหรับข้าพเจ้า งานพัฒนา คือ การเข้าใจตัวเองให้มากที่สุด เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นจริงในชีวิต
กลับไปสู่แผ่นดินของตนเอง คือ อุดมการณ์ของข้าพเจ้า !
อาศรมพลังงานจึงเป็นเหมือนแหล่งบ่มเพาะ ชีวิต การได้ศึกษาเรียนรู้ชีวิตในอาศรมฯ ทำให้ข้าพเจ้ามีความเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตได้หลากหลายขึ้น ได้รู้จักความพอใจและความไม่พอใจในชีวิตที่เกิดขึ้นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน และรู้ว่าจะจัดการสิ่งเหล่านั้นได้อย่างไรตามวิถีทางของตัวเราเอง
๓ ภาระงาน : เป็นศิษย์ เป็นครู ดูจิต ดูความคิด และพัฒนาทักษะ
การทำงานในอาศรมพลังงาน เป็นการมอบหมายตามความถนัดและความพร้อม ซึ่งทุกคนจะมีภาระหน้าที่หลักของตนเอง รวมทั้งการศึกษาเรียนรู้ก็เป็นภารกิจหนึ่งที่ต้องทำ ควบคู่กัน และปี พ.ศ.2552 อาศรมพลังงานได้มีการปรับแผนงานที่เน้นสร้างปัจจัยในการพึ่งตนเองให้มากที่ สุด ไม่ว่าจะเป็นอาหาร วิชาการ ความรู้ พลังงาน เศรษฐกิจ สื่อ และการพัฒนาตนเอง
“การพึ่งตนเอง” เป็นประเด็นที่เราหยิบยกขึ้นมานำเสนอให้ผู้คนได้มีความเข้าใจและเล็งเห็นว่า อาหาร พลังงาน สิ่งแวดล้อม เป็นเรื่องของ “การใช้ชีวิต” ทั้งสิ้น ทุกสิ่งเชื่อมโยงส่งผลกระทบซึ่งกันและกัน การศึกษาเรียนรู้จากของจริงจึงเป็นวิธีการเรียนรู้ที่ดีที่สุด ที่จะทำให้ผู้คนได้เข้าใจและเข้าถึงสิ่งที่เราต้องการนำเสนอ ดังนั้นเจ้าหน้าที่และทุกคนในอาศรมพลังงาน ต้องทำหน้าที่เป็นทั้งผู้ปฏิบัติจริงและผู้ถ่ายทอดไปพร้อมๆ กัน เป็นการทำให้นามธรรมที่ได้คิดค้น สร้างสรรค์ขึ้นมาให้กลายเป็นรูปธรรมขึ้น ภายใต้ความเชื่อที่ว่าชีวิตที่น้อมเข้าหาธรรมชาติ เป็นวิถีชีวิตที่จะทำให้เราดำเนินไปอย่างปกติ
” โรงเรียนตื่นรู้ ”
เป็นโครงการที่ทางอาศรมพลังงานต้องการนำเสนอกระบวนทัศน์ใหม่ของการพัฒนา คือ การเปลี่ยนเจตคติผ่านการเรียนรู้
การเรียนรู้ในอาศรมพลังงานมีลักษณะดังนี้คือ
1. ความรู้เกี่ยวกับการทำมาหากินอย่างยั่งยืน ซึ่งต้องเรียนรู้เรื่องนิเวศน์และการจัดการอย่างยั่งยืน สาระของการจัดการจะครอบคลุมบริบทของระบบนิเวศน์ สังคม เศรษฐกิจ และการเมืองท้องถิ่น (พัฒนาทักษะการวางแผน)
2. วิธีประมวลผลของความคิด(ใจ) เป็นสิ่งที่เรียกว่าความรู้ เป็นนามธรรม (Abstract) เป็นความรู้ที่ใช้ตรรกะเป็นฐาน เช่นใช้คณิตศาสตร์มาอธิบายธรรมชาติ ใช้เงินและกลไกการเงินเป็นตัวแทนในการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจ ใช้กฎหมายและผู้บริหารนโยบาย เป็นตัวแทนของการควบคุมและจัดระเบียบระบอบสังคม เป็นต้น รวมเรียกว่า วิชาการ นำมาเข้าใจปรากฏการณ์ที่สัมผัสด้วย ตา หู จมูก ลิ้น กาย นามธรรมเหล่านี้ต้องเรียนเพื่อให้คนฉลาด สามารถสร้างเครื่องมือในการทำงานได้ สังคมเราขาดทักษะในการสร้างระบบและเครื่องมือในการทำงาน ทำให้ล้มเหลวในการบริหารจัดการ
3. ความรู้ที่กล่าวมาสองข้อนั้นเป็นความรู้ที่อิงอารมณ์และตรรกะ เกิดจากเหตุผลและกระบวนการวิเคราะห์สังเคราะห์ ความรู้ที่สำคัญมากและถูกละเลยคือ การพัฒนาญาณทัศนะ เป็นความรู้ในฐานของจิตวิญญาณ เป็นความรู้ที่ไปเข้าใจอารมณ์และความคิดตนเอง ซึ่งต้องใช้ญาณทัศนะนำเข้าสู่จิตของตนเอง มีความสำคัญมากเพราะจะเกิดความยับยั้งชั่งใจ เกิดความตระหนัก จึงเป็นความรู้ที่ต้องแทรกอยู่ในทุกส่วนของการศึกษา มีหลักสูตรที่เข้มข้นเพื่อให้เกิดการพัฒนาศักยภาพของการบริหารสมองของคนทุก คน คนทั่วไปไม่เข้าใจว่าการฝึกจิตด้วยการเจริญสติภาวนาเงียบๆนั้น เป็นการพัฒนาทั้งจิต (software) และสมอง (hardware) ของผู้ฝึกเอง มันมีอานิสงส์มากมายที่ถูกมองข้ามอันเนื่องจากความไม่รู้
(คำนิยามโดย อ.ชาญชัย ลิปิยากร ผู้อำนวยการอาศรมพลังงาน)
เป้าหมายโรงเรียนตื่นรู้ คือ การพัฒนาคนและปรับเปลี่ยนเจตคติ มุมมองที่มีต่อโลก สิ่งแวดล้อม ธรรมชาติและตนเองอย่างเป็นจริง เข้าใจวิธีการศึกษาเรียนรู้ที่มีทั้งภายในและภายนอก
ความต้องการ อารมณ์ ความรู้สึกที่เป็นแรงขับเคลื่อนให้เรากระทำสิ่งต่างๆ นั้น เป็นตัวที่ทำให้ชีวิตเกิดภาวะที่เรียกว่า “ทุกข์” การนำสติมาใช้ในการดำเนินชีวิตเป็นเหมือนการนำระบบคิดอีกหนึ่งรูปแบบที่แฝง อยู่ภายใน มาใช้แก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น นั่นคือการเรียนรู้จิตตนเอง ส่วนการเรียนรู้ภายนอก คือ การเรียนรู้ปรากฏการณ์หรือสิ่งต่างๆ ที่อยู่รอบตัว เพื่อให้เข้าใจคุณสมบัติ และการนำไปใช้ประโยชน์อย่างเหมาะสม และเน้นให้เกิดความเข้าใจในวิถีการพึ่งตนเอง เช่น การนำพลังงานแสงแดดมาผลิตไฟฟ้า สูบน้ำ เตาแสงอาทิตย์ การเผาถ่านที่สามารถพิทักษ์โลกได้ และเชื่อมโยงกับการเกษตร การผลิตน้ำมันจากพืชน้ำมัน และวิธีการผลิตไบโอดีเซลด้วยตนเอง ย้อมผ้าสีธรรมชาติ และการทำสบู่
ซึ่งจุดประสงค์ของโรงเรียนตื่นรู้ ต้องการให้ผู้เรียนได้มองเห็นว่าการใช้ชีวิตของเรานั้นสามารถดำเนินไปได้ อย่างปกติ โดยที่ไม่มีการทำลายสิ่งแวดล้อม แต่ปัญหาที่เกิดขึ้น เกิดจากมนุษย์ไม่สามารถควบคุมความต้องการที่มีอยู่อย่างไม่สิ้นสุดได้
การศึกษาในปัจจุบัน ไม่ได้มุ่งเน้นให้คนเราเรียนรู้ที่จะมีชีวิต ตามธรรมชาติมนุษย์ต้องการเพียง อาหาร ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม และยารักษาโรค ด้วยสติปัญญาของมนุษย์สามารถใช้ประโยชน์จากป่าไม้ แสงแดด ลม น้ำได้เป็นอย่างดี แต่วิชาการ ความรู้ในปัจจุบัน กลับยิ่งทำให้มนุษย์ทำลายปัจจัยในการมีชีวิตไปอย่างไม่รู้ตัว
คุณค่าของธรรมชาติ คือ สิ่งที่เราพยายามสร้างขึ้นมา เพื่อให้ผู้เรียนได้เล็งเห็นและเข้าใจถึงความปกติของชีวิตที่สามารถพึ่งพา สิ่งต่างๆ รอบตัวอย่างเป็นมิตร
สำหรับข้าพเจ้าในฐานะผู้ถ่ายทอดได้เรียน รู้ และซึมซับสิ่งเหล่านั้น จากการศึกษา ฝึกฝน ทดลอง และลงมือปฏิบัติ ยิ่งทำให้มองเห็นหนทางการแก้ไขปัญหา และมองเห็นหนทางเลือกในการใช้ชีวิตอีกมากมาย แต่ทำไมเมื่อยิ่งแก้ไขกลับเป็นการเพิ่มปัญหาใหม่ขึ้นมาเสมอ อาจเพราะมนุษย์เคยชินกับสิ่งที่เป็นอยู่ จนยากที่จะกลับคืนสู่ความปกติได้ ความสะดวก ความพอใจ คือเหตุผลที่เรายังใช้สิ่งของมากมายเพื่อตอบสนองความพอใจอยู่ทุกเมื่อเชื่อ วัน ฉะนั้นปัญหาไม่ได้อยู่ที่การค้นหาหนทางแก้ไข แต่เป็นตัวเรา นี่คือเป้าหมายของโรงเรียนตื่นรู้ คือ แก้ไขที่ “คน”
” บ้านดิน ”
อาศรมพลังงานต้องการสร้างต้นแบบของการ ใช้ ชีวิตที่สามารถพึ่งตนเองด้านพลังงาน อาหาร และสุขภาพ “บ้านดิน” เป็นส่วนหนึ่งของโครงการด้านสุขภาวะ เป็นฐานเรียนรู้เรื่องการรักษาสุขภาพด้วยอาหาร การนวด การอบสมุนไพร
มองในแง่พลังงานและสิ่งแวดล้อม บ้านดิน คือ สิ่งก่อสร้างที่เป็นมิตรกับธรรมชาติมากที่สุด มันสะท้อนภูมิปัญญาในการพึ่งพาธรรมชาติของมนุษย์อย่างแท้จริง แต่พอผ่านระยะอันยาวนาน บ้านดินกลับเป็นสิ่งที่ล้าหลัง ทั้งๆ ที่มันไม่ต้องใช้ทักษะความชำนาญเฉพาะ
หากลองสังเกตการก่อสร้างอาคารที่ อยู่อาศัย ในแต่ละครั้ง มีการใช้พลังงานไฟฟ้า น้ำมันในการขนส่ง เกิดของเสียมากมายมหาศาล ไม่รวมถึงการทำลายต้นไม้ แหล่งน้ำ ภูเขา แต่บ้านดินกลับเป็นอาคารที่ใช้พลังงานหลักเพียงพลังงานจากอาหารไม่กี่จาน เท่านั้น มนุษย์เป็นแหล่งพลังงาน จึงเป็นการสร้างที่สูญเสียพลังงานน้อย การใช้พลังงานภายในบ้านก็น้อยเช่นกัน เพราะดินเป็นตัวควบคุมอุณหภูมิที่ดี เป็นฉนวนกันความร้อน ทำให้บ้านเย็นสบายและอบอุ่นในเวลาเดียวกัน
หากมองในแง่ของปรัชญา บ้านดินเป็นสัญลักษณ์ของการหันหน้าไปสู่การพึ่งพาตนเอง พึ่งพาสิ่งที่ธรรมชาติได้สร้างสรรค์ขึ้นมา ดิน น้ำ ต้นไม้ ลม แสงแดด นับรวมถึง มนุษย์ ผู้มีพร้อมทั้งร่างกาย ความคิด จินตนาการ คลุกเคล้า ผสมผสานสร้างเป็นที่อยู่อาศัย
ถึงเวลาแล้วที่เราจะสามารถเลือกวิถี ชีวิต ได้อย่างอิสระ อิสระจากความคิด ความเชื่อ ค่านิยมที่สังคมผูกรัดเราไว้ ก็ด้วยความมั่นคงที่ผู้คนกำลังขวนขวายกันในปัจจุบัน กำลังทำลายสิ่งที่มีชีวิตอื่นๆ อีกมากมาย รวมทั้งชีวิตของมนุษย์ด้วยกันเอง
” สื่อ ”
ณ ตอนนี้ข้าพเจ้ามองงานด้านสื่อ ในมุมของการถ่ายทอดมากขึ้น นอกจากการออกแบบ รูปร่าง จัดวาง สีสันที่ดึงดูดความสนใจแล้ว เนื้อหาใจความเป็นเรื่องที่สำคัญ ข้อความที่สื่อสารจะแฝงไปตามสิ่งที่เราตกแต่ง บางครั้งรูปแบบที่ถูกใจอาจไม่สามารถสื่อสารเรื่องต้องการได้ ซึ่งงานสื่อที่รับผิดชอบจะเป็นการออกแบบสิ่งพิมพ์ คือ หนังสือ แผ่นพับ โปสเตอร์ ฉลากสินค้า และหีบห่อของสินค้า โดยแนวคิดในการออก แบบ คือ เป็นภาพที่เน้นสีสันไม่ฉูดฉาด ใช้เส้นโค้ง เน้นความเป็นธรรมชาติ โดยเฉพาะการออกแบบหีบห่อของสินค้าที่เป็นผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ เช่น แชมพูมะกรูด แป้งถั่วเขียว น้ำมันมะพร้าว เป็นต้น
ในปัจจุบันงานสื่อสิ่งพิมพ์ยังอยู่ใน ลักษณะ ที่กระจัดกระจาย และมีการเปลี่ยนแปลงค่อนข้างบ่อย สิ่งที่ต้องปรับปรุง คือ การหาเอกลักษณ์ที่จะทำให้กลุ่มเป้าหมายจดจำได้ง่าย และหาธีมของงานให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น
๔ ณ ปัจจุบัน มันมีทางเลือกให้ชีวิตอย่างแท้จริง !
เป็นเงื่อนไขของบุคลากรในอาศรมพลังงาน ที่จะต้องมีการฝึกฝนตนเองด้วยการเจริญสติ ซึ่งในช่วงเวลาผ่านมาสำหรับข้าพเจ้า ได้เห็นการเปลี่ยนแปลงพอสมควร ได้เรียนรู้ว่า ความหลง เป็นอย่างไร การหลงผิด หลงเชื่อว่าความคิด อารมณ์ ความรู้สึก ที่บังเกิดขึ้น ล้วนเป็นสิ่งที่มีอยู่จริง เป็นสิ่งที่มีตัวตน ทำให้ตัวเรายึดถือ เชื่อมั่น เป็นจริงเป็นจัง เมื่อจิตเชื่อกายก็กระทำตาม
เห็นได้จากคำพูด ท่าทางที่แสดงถึงความไม่พอใจ หงุดหงิด อึดอัด ขัดเคือง ทำให้เราทุกข์อย่างไม่รู้ เหนืออื่นใดการกระทบกระทั่งกับผู้อื่น มีผลต่อการใช้ชีวิตของข้าพเจ้าเป็นอย่างยิ่ง อคติเป็นตัวสำคัญที่จะทำให้เรามีมุมมอง ความเห็นต่อสิ่งนั้นๆ ทำให้เรามองเห็นตามความเป็นจริงอย่างบิดเบือน การมองเห็นใบไม้ มองเห็นสีเขียวของใบไม้อย่างที่เป็นได้ เป็นการเข้าถึงความปกติ
ข้าพเจ้าเรียนรู้ว่าการใช้ชีวิตในแต่ละ วัน ด้วยการสร้างโลกเสมือนจริงขึ้นมา โดยไม่เคยหยุดนิ่งมองตามความเป็นจริงอย่างที่มันเป็นนั้น ทำให้เราใช้อารมณ์ในการตัดสินปัญญา ตัดสินคนรอบข้างอย่างอคติ การยอมรับความแตกต่างทางความคิด ความเป็นตัวตนของผู้อื่นเป็นเรื่องที่การเจริญสติได้ทำให้ตนเองเปิดรับมาก ยิ่งขึ้น ซึ่งไม่ใช่การใช้เหตุผลในการยอมรับแต่อย่างใด หากแต่เป็นการยอมรับความแตกต่างในความไร้ตัวตนของความคิดที่เกิดขึ้นในจิตใจ ตนเอง
แต่นั่นเป็นเพียงในชั่วขณะหนึ่งที่ทำให้ เกิดความเข้าใจสิ่งที่อยู่ภายใน ความคิด ภาวะนั้นเป็นเหมือนการกระพริบของไฟ มันสว่างเพียงชั่วขณะและดับไป ความต่อเนื่องเป็นปัจจัยที่ทำให้ภาวะนั้นชัดเจนมากขึ้น การนำมาใช้ในชีวิตจริงเป็นเหมือนการเล่นตุ๊กตาล้มลุก เราสามารถยอมรับสภาวะอารมณ์ ณ ขณะนั้นเป็นครั้งคราวเพียงเท่านั้น แต่ถือว่าเรามีระบบการทำงานอีกระบบหนึ่งที่สามารถดึงออกมาใช้ได้ทุกเมื่อ เมื่อคุณมีสติ
การเปลี่ยนแปลงทั้งภายในและภายนอกในระยะ เวลา 1 ปี 6 เดือนกับการเป็นอาสาสมัคร ทำให้ข้าพเจ้าได้เรียนรู้ คำว่า “พัฒนา” ได้ชัดแจ้งยิ่งขึ้น สามารถตอบคำถามของตนเองได้อย่างเต็มปากว่าชีวิตมีทางเลือกอย่างแท้จริง การพัฒนาก็มีหลายรูปแบบที่เราสามารถเลือก เลือกที่จะทำ เลือกที่จะสร้างสรรค์ได้ตามความเหมาะสมของตนเอง เพราะสุดท้ายแล้ว ความตายคือที่สุดรอบของชีวิต นั่นคือสิ่งที่ข้าพเจ้าพยายามระลึกอยู่เสมอ
Credit : Thaivolunteer